เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "เจาะข้อมูลเครดิตบูโร เปิดผลสำเร็จมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ชี้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยยังไม่คลี่คลาย แก้หนี้สำเร็จยั่งยืนต้องปรับทุกภาคส่วน"


ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา "หนี้ครัวเรือน" เป็นประเด็นร้อนเรื่อยมา โดยเฉพาะหลังวิกฤต COVID-19 ที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP เร่งตัวแตะ 95.5% ในไตรมาสแรกปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ตัวเลขล่าสุดไตรมาส 2 ปี 2568 ลดลงเหลือ 86.8% แต่การลดลงครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่คลี่คลาย เพราะยอดหนี้หดตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาส โดยเป็นผลจากรายได้และฐานะทางการเงินของครัวเรือนที่เปราะบางมากขึ้น ส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ กระทบต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มชะลอลงซึ่งแตกต่างจากรอบการลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนในอดีตที่ยังสะท้อนการฟื้นตัวของรายได้และฐานะการเงินครัวเรือนด้วย สิ่งนี้คือสัญญาณ “Unhealthy Deleveraging” หรือการลดหนี้ที่ยังเพิ่มแรงกดดันต่อฐานะการเงินของภาคครัวเรือน และอาจทำให้หนี้นอกระบบที่ยังไม่อยู่ในการนับตัวเลขหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกด้วย สะท้อน “ความเปราะบาง” ของครัวเรือนที่ซ่อนอยู่ เศรษฐกิจไทยยังมี “แผลเป็นหนี้ครัวเรือน” หลัง COVID-19 ที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง 


 
มาตรการหลักที่ถูกนำมาใช้แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในช่วงที่ผ่านมา คือ “การปรับโครงสร้างหนี้” เพื่อยืดเวลาผ่อน ลดค่างวด หรือปรับเงื่อนไขให้ลูกหนี้เดินต่อได้ แต่ข้อมูลเครดิตบูโรสะท้อนภาพที่น่ากังวล แม้ยอดหนี้รวมโตช้าลงและเริ่มหดตัว แต่หนี้เสียและหนี้เริ่มผิดนัดกลับเร่งตัว โดยเดือนตุลาคม 2568 มูลหนี้เสีย (NPL) แตะ 1.29 ล้านล้านบาท (9.5% ของหนี้รวม) เพิ่มขึ้นจาก 1.05 ล้านล้านบาท (7.7%) ณ สิ้นปี 2566 ขณะที่มาตรการปรับโครงสร้างหนี้อาจช่วยไม่ทันกับความรุนแรงของปัญหา สะท้อนจากหนี้ปรับโครงสร้าง (Troubled Debt Restructuring : TDR) เพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านล้านบาท (8.05% ของหนี้รวม) จาก 1.04 ล้านล้านบาท (7.6%) สิ้นปี 2566 ที่สำคัญหนี้เสียกว่า 64% เป็นบัญชีลูกหนี้รายย่อย มูลหนี้ไม่ถึง 1 แสนบาทและไม่มีหลักประกัน สะท้อนว่าปัญหาหนี้เรื้อรังไม่ได้อยู่แค่หนี้ก้อนใหญ่ แต่กระจายอยู่ในมูลหนี้เล็ก ๆ ของคนจำนวนมาก 

 
มาตรการแก้หนี้ครัวเรือนเดินหน้าต่อเนื่องและขยายความครอบคลุมมากขึ้น ภายใต้หลักการ “ให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending)” โดยมุ่งช่วยลูกหนี้ NPL ที่ยังเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือให้มากขึ้น เช่น มาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ที่ออกมาในช่วงเดือนกลางเดือนธันวาคม 2567 ถึง 30 กันยายน 2568 ทั้งเฟส 1 และ 2 ที่ครอบคลุมลูกหนี้บุคคล NPL รวมกว่า 3.7 ล้านราย แต่ลูกหนี้ที่มาลงทะเบียนและผ่านคุณสมบัติจริงมีเพียง 25% และได้รับการปรับโครงสร้างหนี้เพียง 17% ของลูกหนี้บุคคล NPL ทั้งหมด (ข้อมูล ธปท. ณ 30 กันยายน 2568) อีกมาตรการคือ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ที่ผ่อนเกณฑ์ช่วยลูกหนี้ NPL ที่ไม่มีหลักประกัน ผลหนี้เสียไม่เกิน 1 แสนบาทต่อบัญชี เพื่อปิดหนี้และเคลียร์ประวัติเครดิตบูโรที่จะเริ่มตั้งแต่ต้นปี 2569 มาตรการเหล่านี้สะท้อนความตั้งใจของทุกฝ่ายในการปิดช่องว่างเดิมของมาตรการแก้หนี้ แต่ความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนที่สูงขึ้น อาจทำให้ “การกลับมาชำระหนี้สม่ำเสมอหรือปิดบัญชีได้” ยังเป็นโจทย์ท้าทาย 

 
SCB EIC ศึกษาผลสัมฤทธิ์ของมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้บุคคล NPL โดยใช้ข้อมูลเครดิตบูโรตั้งแต่ไตรมาส 1/2562 ถึง ไตรมาส 2/2568 พบว่า 

1. การปรับโครงสร้างหนี้ยังไม่ทั่วถึง มีเพียงราว 23% ของลูกหนี้บุคคล NPL ทั้งหมด ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ โดยกลุ่มเกษตรกรได้รับการปรับโครงสร้างหนี้มากที่สุด 47% ของลูกหนี้บุคคล NPL ที่อยู่ในกลุ่มเกษตรกร ส่วนหนึ่งอาจเพราะเป็นกลุ่มที่มีสถาบันการเงินของรัฐเป็นเจ้าหนี้หลัก และสามารถออกแบบมาตรการช่วยเหลือได้ตรงกลุ่มมากกว่า เช่น การพักชำระหนี้ตามฤดูกาล หรือการจ่ายหนี้ตามรอบรายได้ของลูกหนี้ รองลงมาคือกลุ่ม Bank (รวม SFIs) 29% และ Non-bank เพียง 14% ของลูกหนี้ NPL ในแต่ละกลุ่ม สะท้อนความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความช่วยเหลือตามประเภทเจ้าหนี้ 

2. การปรับโครงสร้างหนี้ให้ผลสัมฤทธิ์จำกัดลูกหนี้บุคคล NPL ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้และสามารถกลับมาชำระหนี้ได้สม่ำเสมอ (วันค้างชำระหนี้ หรือ Days Past Due น้อยกว่า 30 วันติดต่อกันและสามารถชำระหนี้ได้ติดต่อกัน 6 เดือนแรกของปี 2568) หรือปิดบัญชีได้มีเพียง 15% (หรือคิดเป็นเพียง 3% ของลูกหนี้บุคคล NPL ทั้งหมด) ขณะที่อีก 85% แม้จะเคยปรับโครงสร้างหนี้แล้ว แต่สุดท้ายก็กลับไปเป็นหนี้เสียใหม่ สะท้อนว่าปัจจัยแวดล้อมด้านรายได้ ความมั่นคงของงาน และค่าครองชีพยังไม่เอื้อต่อการตั้งหลักใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มลูกหนี้ Non-bank ที่ได้รับความช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้มีสัดส่วนน้อยและผลสำเร็จต่ำกว่ากลุ่มอื่น ผลศึกษา SCB EIC ชี้ว่า การก่อหนี้ที่สูงเกินไปตั้งแต่ต้นยังเป็นปัญหาสำคัญที่จะต้องแก้ไขเชิงรุก

 
3. ผลสัมฤทธิ์ของการปรับโครงสร้างหนี้แตกต่างกันตามช่วงเวลา ประเภทเจ้าหนี้ และสินเชื่อ 

1. การปรับโครงสร้างหนี้ในปี 2568 ช่วยให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม NPL ที่เคยปรับโครงสร้างหนี้แต่ไม่สำเร็จ และได้โอกาสอีกครั้ง เนื่องจากมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น คุณสู้เราช่วย ที่ออกมาในช่วงเดือน 12 ธันวาคม 2567 ถึง 30 กันยายน 2568 มีการผ่อนปรนมาตรการให้ลูกหนี้ NPL เข้าถึงมาตรการช่วยเหลือได้มากขึ้น ช่วยลดค่างวดได้จริง และมีแรงจูงใจให้ตัดเงินต้นเร็วขึ้น รวมไปถึงการขยายความครอบคลุมลูกหนี้ที่ค้างชำระนานเกิน 1 ปี ก็สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการรอบนี้ได้ 

2. กลุ่ม Non-bank มีประสิทธิผลการปรับโครงสร้างหนี้ต่ำสุด ไม่ถึง 10% ที่กลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ แม้จะมีจำนวนบัญชีมากกว่าครึ่งของจำนวน NPL บุคคลทั้งหมด เนื่องจากลูกหนี้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่อาจจัดอยู่ในกลุ่มรายได้ไม่สูงหรือรายได้มีความไม่แน่นอนสูงทำให้ความสามารถในการชำระหนี้มีจำกัด และส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้ความช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้โดยการลดดอกเบี้ย หรือตัดต้นเร็วอาจไม่เพียงพอ 

3. กลุ่ม Bank และ SFIs มีประสิทธิผลการปรับโครงสร้างหนี้ดีกว่าในสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อการค้า และสินเชื่อบัตรเครดิต แต่ผลสำเร็จต่ำในสินเชื่อเช่าซื้อ เนื่องจากสินเชื่อเช่าซื้อมีค่างวดสูงและจำนวนงวดสั้น ทำให้การปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการยืดงวดหรือลดดอกเบี้ยยังช่วยลดภาระได้ไม่มาก ขณะที่การปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ในกลุ่ม Non-Bank ทุกประเภทสินเชื่อมีผลต่ำใกล้เคียงกัน อาจสะท้อนว่าความช่วยเหลือจากภาครัฐไปถึงกลุ่ม Non-bank น้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะสามารถเข้าร่วมโครงการคุณสู้เราช่วยได้ แต่ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มนี้ต่ำกว่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว 

4. ลูกหนี้ NPL ที่มีหนี้หลายประเภทมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือผ่านการปรับโครงสร้างหนี้มากกว่าลูกหนี้ NPL ที่มีหนี้ประเภทเดียว ส่วนหนึ่งอาจเนื่องจากลูกหนี้ที่มีหนี้หลายประเภทสามารถเลือกใช้เครื่องมือในการปรับโครงสร้างหนี้ได้หลากหลายได้มากกว่า ทั้งการยืดงวด ลดอัตราดอกเบี้ย การพักชำระหนี้ หรือการรวมหนี้ ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการภาระหนี้ 

 
การแก้หนี้ครัวเรือนให้สำเร็จอย่างยั่งยืน จึงต้องทำมากกว่าการยืดเวลาชำระหรือปรับเงื่อนไขชั่วคราว โดยออกแบบมาตรการให้สอดคล้องกับสภาพภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน 

• ภาครัฐ : “ปรับ” สภาพแวดล้อมให้เอื้อ ผ่านมาตรการการกำกับดูแลเพื่อป้องกันการปล่อยสินเชื่อเกินความจำเป็น ผลักดันให้ผู้ให้สินเชื่อทั้งหมดเข้าร่วมเป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) เพื่อให้ผู้ให้บริการ/สถาบันทางการเงินมีข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับภาระหนี้โดยรวมของผู้กู้มากขึ้น ตลอดจนปรับมาตรการควบคุมความเสี่ยงระดับมหภาค (Macroprudential) เพื่อกำหนดเพดานหนี้โดยรวมแต่ละราย โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Consumer Loans) และบังคับใช้กับผู้ให้บริการทางการเงินทุกประเภทอย่างเท่าเทียม เพื่อป้องกันการสะสมหนี้ครัวเรือนที่มากเกินกว่าความสามารถผู้กู้ ควบคู่กับการป้องกันหนี้ไหลไปเป็น NPL โดยส่งเสริมกลไกเตือนความเสี่ยงล่วงหน้าและมีมาตรการจูงใจให้ลูกหนี้เข้าปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะเป็น NPL ดึงหนี้นอกระบบเข้าสู่ในระบบโดยการเชื่อมโยงเข้ากับกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้และมีการให้คำปรึกษาในการรวมหนี้และฟื้นฟูเครดิต รวมถึงขยายกลไกให้คำปรึกษาหนี้แบบ One-stop กำกับสินเชื่อดอกเบี้ยสูงและโฆษณาที่ไม่รับผิดชอบ พร้อมยกระดับความโปร่งใสเรื่องต้นทุนจริงที่ผู้กู้ต้องจ่ายต่อปี พร้อมกับการดำเนินนโยบายช่วยสร้างความเข้มแข็งฐานะการเงินของครัวเรือนทั้งในด้านการเสริมรายได้ สวัสดิการ รวมถึงทักษะอาชีพ

• ผู้ให้กู้ : “ปล่อย” สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ ประเมินความสามารถชำระหนี้จริง จำกัดภาระหนี้ต่อรายได้ ปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกก่อนเป็น NPL พร้อมเพิ่มแรงจูงใจ เช่น รางวัลหรือแรงจูงใจสำหรับลูกหนี้ที่ชำระต่อเนื่อง เพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นพฤติกรรมใหม่ของลูกหนี้ที่ยั่งยืนได้

• ลูกหนี้ : “เปลี่ยน” พฤติกรรม วางแผนปิดหนี้อย่างเป็นระบบ ใช้กลยุทธ์ เช่น Debt snowball สร้างแรงจูงใจจากการเห็นจำนวนบัญชีหนี้ลดลง หรือ Debt avalanche ช่วยประหยัดดอกเบี้ยรวมและทำให้หมดหนี้เร็วขึ้น ตั้งเพดานผ่อนหนี้ต่อรายได้ ลดรายจ่ายไม่จำเป็น สร้างเงินออมฉุกเฉิน และเข้ารับคำปรึกษาหนี้ตั้งแต่เริ่มรู้สึกว่าเงินตึงมือ 
 
 
อ่านต่อรายงานฉบับเต็ม... https://www.scbeic.com/th/detail/product/NCB-261225

 
ผู้เขียนบทวิเคราะห์ : ณฐพงศ์ ตันติจิรานนท์ (nathapong.tuntichiranon@scb.co.th) นักเศรษฐศาสตร์

 
ดร.ฐิติมา ชูเชิด (thitima.chucherd@scb.co.th) ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค
 

 
ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ (poonyawat.sreesing@scb.co.th) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) 
SCB EIC Online: www.scbeic.com
Line : @scbeic

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 30 ธ.ค. 2568 เวลา : 15:07:04
31-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นไทยส่งท้ายปี (30 ธ.ค.68) บวก 5.64 จุด ดัชนี 1,259.67 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (30 ธ.ค.68) บวก 3.37 จุด ดัชนี 1,257.40 จุด

3. MTS Gold คาดราคาทองคำเข้าสู่ช่วงปรับฐานประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,340-4,300 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,410-4,450 เหรียญ

4. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (30 ธ.ค.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 31.65 บาทต่อดอลลาร์

5. พยากรณ์อากาศวันนี้ (30 ธ.ค.68) "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 3 องศา มีน้ำค้างแข็งบางแห่ง "ยอดภู" 8 องศา / ฝุ่นละอองค่อนข้างมาก ระบายอากาศไม่ดี

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (29 ธ.ค.68) ร่วง 209.10 ดอลลาร์ นักลงทุนขายทำกำไรหลังราคาพุ่งแรง

7. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (29 ธ.ค.68) ลบ 249.04 จุด หุ้นเทคโนโลยีร่วงทุบตลาด

8. ทองเปิดตลาดวันนี้ (30 ธ.ค.68) ร่วงแรง 1,300 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 66,000 บาท

9. ตลาดหุ้นไทยเปิด (30 ธ.ค.68) ลบ 1.01 จุด ดัชนี 1,253.02 จุด

10. ตลาดหุ้นไทยปิดวันนี้ (29 ธ.ค.68) ลบ 5.22 จุด ดัชนี 1,254.03 จุด

11. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (29 ธ.ค.68) ลบ 2.58 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,256.67 จุด

12. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,480-4,450 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,550-4,570เหรียญ

13. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (29 ธ.ค.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 31.12 บาทต่อดอลลาร์

14. ตลาดหุ้นไทยเปิด (29 ธ.ค. 68) บวก 0.45 จุด ดัชนี 1,259.70 จุด

15. ทองเปิดตลาดวันนี้ (29 ธ.ค. 68) "คงที่" ทองรูปพรรณ ขายออก 67,300 บาท

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 31, 2025, 6:10 am