วันนี้	(18มี.ค.)ธนาคารกสิกรไทย	จำกัด(มหาชน)จัดสัมมนา"มุมมองเศรษฐกิจโลกไตรมาสแรก กระแสความเคลื่อนไหวของค่าเงิน และหุ้นเด่น"เพื่อเป็นข้อมูลให้ลูกค้าที่ประกอบธุรกิจได้ทราบถึงทิศทางค่าเงิน อัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก งานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ 
 
 
กิจกรรมในวันนี้มีการ บรรยายหัวข้อ “ทิศทางค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยปี 2559 " โดยคุณกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยคุณณัฏฐริยา วิทยธนเศรษฐ์ ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย	และเวทีเสวนา"มุมมองเศรษฐกิจโลกไตรมาสแรก กระแสความเคลื่อนไหวของค่าเงินและหุ้นเด่น”โดยดร. กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ TDRI	คุณกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)	คุณกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย		และคุณกิตติ เจริญกิจชัยชนะผู้บริหารกลุ่มงานขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ธนาคารกสิกรไทย
 นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า	 ธนาคารได้ปรับคาดการณ์ค่าเงินบาทในปีนี้เป็น 37 บาทต่อดอลลาร์ จากเดิมคาดการณ์ไว้ระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ โดยคาดว่าระยะสั้นช่วงไตรมาส 2/59 ค่าเงินบาทจะแข็งค่า หรือแตะระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ผลจากเงินทุนไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม คาดว่าบาทจะกลับมาอ่อนค่าอีกครั้งในช่วงเดือนมิ.ย.นี้  ก่อนการประชุมนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เพราะคาดว่าเฟดจะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
คุณณัฏฐริยา	วิทยธนเศรษฐ์	ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน	ธนาคารกสิกรไทย	มองเศรษฐกิจไทย	ดัชนีหลายตัวไม่ดีเท่าไรโดยเฉพาะเรื่องการส่งออก	จำนวนนักท่องเที่ยว	การจำหน่ายรถยนต์และภาคการผลิตชะลอตัวลงหมดแต่ที่เห็นตัวเลขก่อนหน้านี้ดีเพราะผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ
ไตรมาสแรกปีนี้จะเห็นเศรษฐกิจไทยชะลอตัวและไตรมาสสองปีนี้น่าเป็นห่วงเพราะมีปัญหาเรื่องภัยแล้งที่เข้ามากระทบมากขึ้นด้วยทั้งนี้ด้านการส่งออกนอกจากราคาลดลงแล้วปริมาณความต้องการของตลาดก็ลดลงด้วยโดยการส่งออกกำลังเผชิญปัญหาด้านโครงสร้างถ้าไม่เร่งแก้ไขจะทำให้ประเทศไทยเสียส่วนแบ่งการตลาดในตลาดโลกได้
"ปีนี้จะเป็นปีที่4ที่การส่งออกหดตัวต่อเนื่องซึ่งเป็นความท้าทายของเศรษฐกิจไทยนอกเหนือจากความท้าทายเรื่องเศรษฐกิจจีน	ภัยแล้งและราคาน้ำมันที่น่าจะกดดันการส่งออกโดยโอเปคจะมีการประชุมกันเดือนเมษายนเรื่องจะคงการผลิตน้ำมันหรือไม่"
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยยังมีแรงขับเคลื่อนจากภาครัฐที่เป็นตัวหลักโดยเฉพาะเรื่องการลงทุนภาครัฐที่จะหนุนให้การลงทุนภาคเอกชนตามมา	โดยปี2558มีบริษัทเอกชนขอบีโอไอน้อยมาก	ขณะที่รัฐบาลพยายามเร่งการอนุญารตโดยปริมาณเม็ดเงินที่รัฐบาลอนุญาตไปลงทุนไม่เปลี่ยนแปลงประมาณ5แสนล้านบาท
 
 
การท่องเที่ยวน่าจะเป็นอีกตัวหลักที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้โดยที่ภาคท่องเที่ยวยังเป็นดาวรุ่งหนุนเศรษฐกิจไทยจาการที่นักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากที่สุดเป็นสัดส่วนประมาณ25%และคาดว่าปีนี้น่าจะเข้ามา22%เมื่อเทียบกับปีก่อน
 
นายกวี	ชูกิจเกษม	รองกรรมการผู้จัดการ	บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย	จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า	ตอนนี้นักลงทุนต่างชาติเลือกซื้อหุ้นไทยส่วนใหญ่ไปเล่นในฟิวเจอร์และSET50เพราะเป็นตลาดที่มีสภาพคล่อง	มีมาร์จิ้นแต่ใช้เงินน้อยและคนไทยก็ชอบเข้าไปเล่นสองตลาดนี้เหมือนกัน	ซึ่ง1-2เดือนที่ผ่านมามีปริมาณซื้อถึง1.2แสนสัญญาและโดยเฉลี่ยตกสัญญาละเกือบล้านบาท
สำหรับมุมมองเรื่องการจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ	นายกวีกล่าวว่าประเทศไทยไม่น่าจะเป็นเป้าหมายวิกฤติเศรษฐกิจและประเทศไทยน่าจะอยู่รอดได้เพราะไทยมีหนี้ภาครัฐและหนี้ภาคเอกชนน้อยแม้จะมีหนี้ครัวเรือนมากก็ตาม
"วิกฤตเศรษฐกิจส่วนใหญ่เกิดจากหนี้ภาครัฐและหนี้ภาคเอกชนที่มีมากขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนไม่ค่อยเป็นต้นเหตุให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเพียงแต่ตัวเลขมันไม่สวย"นายกวีกล่าว
ด้านดร.กิริฎา	เภาพิจิตร	ผู้อำนวยการวิจัยด้านการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ	สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)กล่าวถึงการอุปโภคบริโภคภาคครัวเรือนจะเป็นอย่างไรต่อไปว่าต้องดูเรื่องภัยแล้งเป็นหลักเพราะจะกระทบเรื่องการอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะเกษตรกรที่ทำนาปรังที่มีสัดส่วน15%ของการผลิตข้าวในแต่ละปีจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนจากภัยแล้งเพราะตอนนี้น้ำขาดแคลนและรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอับดับ3ในการจ่ายน้ำให้
นอกจากนี้ข้าวนาปีที่มีสัดส่วนถึง85%ของการผลิตข้าวทั้งหมดของประเทศถ้าน้ำยังขาดอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคมจะสร้างผลกระทบอย่างมากต่อเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปีโดยจะกระทบต่อครัวเรือนถึง3.5ล้านครัวเรือนโดย1ครัวเรือนเฉลี่ย4คน
อย่างไรก็ตามมีข่าวดีที่น้ำน่าจะมาในช่วงเดือนมิถุนายนฉะนั้นผลกระทบไม่ได้รุนแรงเท่าที่คิด	เพราะน้ำแม้จะมาช้าไป1เดือนที่เกษตรกรที่จะต้องปลูกข้าวนาปีทำให้บางส่วนอาจปลูกข้าวนาปีไม่ได้แต่ข้าวนาปรังเสียหายไปแล้ว
สำหรับผลกระทบภัยแล้งต่อภาคอุตสาหกรรม	นิคมอุตสาหกรรมที่จะถูกกระทบจากภัยแล้งจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมในภาคกลางรวมถึงจังหวัดลำพูนที่จะขาดน้ำ	อย่างไรก็ตามนิคมฯเหล่านี้ได้มีการเตรียมความพร้อมอาทิ	ขุดบ่อน้ำ	และการทำน้ำเสียให้เป็นน้ำดี	ฉะนั้นภาคอุตสาหกรรมไม่น่าจะถูกกระทบมากเหมือนภาคเกษตร
"โดยสรุปแล้วภัยแล้งจะกระทบภาคอุปโภคบริโภคประมาณ6หมื่นล้านบาท"ดร.กิริฎากล่าว
ดร.กิริฎายังได้กล่าวถึงการลงทุนภาครัฐที่จะมีส่วนสำคัญผลักดันเศรษฐกิจไทยว่าต้องยอมรับภาครัฐมีความพยายามเร่งการลงทุนภาครัฐอย่างมาก	ซึ่งงบประมาณก็มากกว่าปีก่อนกว่า20%พร้อมกับตั้งใจอัดเงินลงทุนมากกว่าปีที่แล้วรวมถึงการเบิกจ่ายมากกว่าปีที่แล้วด้วย	อย่างไรก็ตามแม้รัฐจะเพิ่มการลงทุนแต่ถ้าภาคเอกชนไม่ลงทนตามก็จะ
ดึงจีดีพีขึ้นไม่ได้ฉะนั้นเอกชนต้องเข้ามาเสริมด้วยเพื่อดึงจีดีพีให้ขึ้้นได้
นอกจากนี้ภาคการท่องเที่ยวน่าจะเป็นอีกตัวหลักที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้โดยการท่องเที่ยวยังเป็นดาวรุ่งหนุนเศรษฐกิจไทยซี่งเข้ามามากที่สุดเป็นสัดส่วนประมาณ25%
 
ข่าวเด่น