(225)(228).jpg)
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (16 มิ.ย.68) หลังการโจมตีระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบ ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลถึงแนวโน้มที่ราคาน้ำมันอาจปรับตัวสูงขึ้น และอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ ส่งผลให้ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ดีดตัวขึ้น 317.30 จุด หรือ 0.75% ปิดที่ 42,515.09 จุด,ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 56.14 จุด หรือ 0.94% ปิดที่ 6,033.11 จุด และ ดัชนีแนสแดค เพิ่มขึ้น 294.39 จุด หรือ 1.52% ปิดที่ 19,701.21 จุด โดยดัชนีแนสแดค มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นรายวันเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวลดลงมากกว่า 1% ท่ามกลางความคาดหวังว่าจะมีการเจรจาสงบศึกเกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน หลังมีการโจมตีด้วยขีปนาวุธมาตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยอิหร่านได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กดดันให้มีการหยุดยิงในสงครามทางอากาศที่ดำเนินมา 4 วัน ขณะที่นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลกล่าวว่า ประเทศของตนกำลังเดินหน้าไปสู่ชัยชนะ โดยราคาน้ำมันเคยพุ่งขึ้นกว่า 7% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังอิสราเอลเริ่มเปิดฉากโจมตีใส่อิหร่าน
อิหร่านยังได้ขอให้กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และโอมาน กดดันประธานาธิบดีทรัมป์ ให้ใช้อิทธิพลของตน เพื่อกดดันให้อิสราเอลตกลงหยุดยิงทันที แลกกับการที่อิหร่านจะยอมผ่อนปรนไปสู่การเจรจานิวเคลียร์ โดยจอร์จ ยัง ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนจาก Villere & Co กล่าวว่า “ตัวแปรที่คาดเดาไม่ได้จริง ๆ คือจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาน้ำมัน การเคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อภาคส่วนดังกล่าวและต่อเศรษฐกิจด้วย หากผู้บริโภคระมัดระวังและกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและไม่ใช้จ่าย นั่นจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไร ไม่ว่าคุณจะลงทุนในภาคส่วนใดของเศรษฐกิจก็ตาม”
บรรดานักลงทุนยังคงจับตาการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพุธนี้ตามท้องถิ่น โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า คณะผู้กำหนดนโยบายทางการเงินจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม โดยส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงเดือนก.ย. โดยคาดว่า มีโอกาส 61.1% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ตามข้อมูลของ LSEG
ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะรายงานในคืนนี้ ประกอบด้วยยอดค้าปลีก, ราคานำเข้าและส่งออก และ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.
หุ้น 11 กลุ่มที่คำนวนในดัชนี S&P 500 พบว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มบริการด้านการสื่อสารเพิ่มขึ้นมากที่สุด ที่1.52% และ 1.53% ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มสาธารณูปโภคปิดลบมากที่สุด ที่ 0.50%
ข่าวเด่น