(279)(295).jpg)
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (9 ก.ค.68) ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.64 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าเข้าใกล้โซน 147 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับ ญี่ปุ่น ที่กว้างมากขึ้น ขณะเดียวกันบรรดาผู้เล่นในตลาดก็ประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ในปีนี้ หากญี่ปุ่นเผชิญภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงถึง 25% นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากการปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับของราคาทองคำ ทว่า เงินบาทยังคงไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ และการปรับสถานะถือครองของบรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วน
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ระบุว่า จะไม่ขยายเส้นตายในการบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่ได้ประกาศล่าสุด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.07%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.41% แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินยุโรปอาจเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare และหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +1.8% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ที่ได้อานิสงส์จากทั้งการปรับสถานะ Short น้ำมันของผู้เล่นในตลาด ความกังวลว่าสหรัฐฯ อาจลดกำลังการผลิตน้ำมันลงจากคาดการณ์ก่อนหน้า และสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ทะเลแดง หลังกลุ่ม Houthi กลับมาโจมตีเรือบรรทุกสินค้าอีกครั้ง
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.40% โดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ดังกล่าว ทำให้เรามองว่า บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น และคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า (โซน 4.50% หรือสูงกว่านั้น อาจไม่ได้เห็นได้ง่ายนัก หากไม่มีความเสี่ยงเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ เข้ามากดดันตลาดบอนด์ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องออกมาดีกว่าคาดชัดเจน)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้บรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงเช่นกัน ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) หากญี่ปุ่นเผชิญอัตราภาษีนำเข้าที่สูงถึง 25% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ทยอยลดสถานะถือครองเงินดอลลาร์ลงบ้าง (Sell on Rally) ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 97.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.3-97.8 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ปรับตัวลง ก่อนที่ราคาทองคำจะพอได้แรงหนุนจากแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า และจังหวะอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ หนุนให้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,310-3,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า หลังทางการสหรัฐฯ ได้ทยอยประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม ทำให้บรรดาประเทศคู่ค้าอาจเร่งเจรจาการค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญอัตราภาษีนำเข้าที่สูงดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางหลักดังกล่าว
ส่วนทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของจีน ในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีนได้ ในส่วนของนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 2.75% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3.25% ไปก่อน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ในช่วงนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกันก็กดดันให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซนแนวรับ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกที่จะทยอยเข้าซื้อทองคำ (Buy on Dip) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ ที่อาจไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญซึ่งอาจส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนสูง (ทั้งในฝั่งอ่อนค่าและแข็งค่า) อีกทั้ง มุมมองของผู้เล่นในตลาดล่าสุด ก็เริ่มทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย และสอดคล้องกับมุมมองของเฟดใน Dot Plot ล่าสุด ทำให้การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เว้นแต่ว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าจะออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงาน ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 2 ครั้ง อย่าง แน่นอนในปีนี้ ซึ่งเราประเมินว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวยังอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอทยอยเงินดอลลาร์ ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลง หรือ ทยอยเพิ่มสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging Ratio) ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นในหลายสกุลเงิน โดยเฉพาะสกุลเงินฝั่งเอเชีย ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทอาจติดอยู่แถวโซนแนวต้าน 32.65-32.75 บาทต่อดอลลาร์ ในระยะสั้น ทั้งนี้ เราจะมั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend Following
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.70 บาท/ดอลลาร์
ข่าวเด่น