ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (21 ส.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (21 ส.ค.68) ที่ระดับ  32.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.54 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบแคบ (แกว่งตัวในกรอบ 32.48-32.58 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ รวมถึง ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ทั้งนี้ เงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันบ้าง เช่นเดียวกับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หนุนให้ราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ตามความกังวลของผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่อการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดโดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ หลังล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้ Lisa Cook (หนึ่งใน Board of Governor ของเฟด และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ของเฟด) ลาออกจากตำแหน่ง จากประเด็นให้ข้อมูลเท็จเพื่อแสวงหาประโยชน์จากสิทธิพิเศษของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยโดยสำนักงานการเงินเพื่อการเคหะของรัฐบาลสหรัฐฯ (FHFA) ทั้งนี้ ทาง Lisa Cook ได้ออกมาปฏิเสธประเด็นดังกล่าวและพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการในการตรวจสอบ อีกทั้งย้ำจุดยืนที่จะดำรงตำแหน่ง Board of Governor ของเฟดต่อไป 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นธีม AI หลังหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ปรับตัวขึ้นร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell และรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ อาทิ Walmart ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองหุ้นสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ส่งผลให้ S&P500 ปิดตลาด -0.24% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.23% โดยบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทว่าประเด็นดังกล่าวยังคงกดดัน บรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร-การบิน ซึ่งปรับตัวขึ้นร้อนแรงในปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ Nestle +3.6% และ Unilever +3.3% 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเผชิญแรงกดดันบ้าง จากความกังวลการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟด โดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเรียกร้องให้ Lisa Cook หนึ่งใน Board of Governor ของเฟด (และคณะกรรมการ FOMC) ลาออกจากประเด็นให้ข้อมูลเท็จเพื่อแสวงหาประโยชน์จากสิทธิพิเศษของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ทว่า ประเด็นดังกล่าวยังไม่ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โดยรวม บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวใกล้โซน 4.30% โดยเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ในระยะสั้น โดย เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ทว่าเงินดอลลาร์ยังพอรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง หลังบรรยากาศในฝั่งตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด ก่อนที่จะปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างมีนัยสำคัญต่อไป ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.0-98.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อแนวโน้มการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ รวมถึงแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ทว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็เป็นไปอย่างจำกัด กดดันโดยจังหวะการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถว 3,380-3,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนสิงหาคม ของสหรัฐฯ ยูโรโซน และอังกฤษ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจช่วยสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อมุมมองของบรรดาผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว ในงานสัมนาวิชาการประจำปีของเฟด Jackson Hole Symposium 

นอกจากนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ ดัชนีภาวะธุรกิจโดยเฟดสาขา Philadelphia และข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ (Existing Home Sales) เพื่อประกอบการประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ และแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐฯ 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังพอมีโอกาสอ่อนค่าลงได้บ้าง ในช่วงก่อนรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงานสัมนา Jackson Hole Symposium (จะทยอยรับรู้ในช่วงราว 21.00 น. ของคืนวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย) หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ รวมถึงข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ออกมาสดใส ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายความกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ บ้าง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติมได้ ทว่าข้อมูลดังกล่าวอาจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้เล่นในตลาดปักใจเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า 2 ครั้ง ในปีนี้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด รวมถึง รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ถึงจะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญขนาดนั้น 

โดยจากการประเมินสถิติการเคลื่อนไหวของเงินบาท (USDTHB) ในช่วงหลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในช่วง 24 ชั่วโมง ข้างหน้านั้น เรามองว่า หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง เงินบาทก็อาจอ่อนค่าลงเล็กน้อย ทดสอบโซนแนวต้าน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายก็อาจยังติดโซนแนวต้าน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งมั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ ก็อาจหนุนให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสเข้าใกล้โซนแนวรับถัดไป 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ ราคาทองคำสามารถรีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่องได้ 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.75 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 21 ส.ค. 2568 เวลา : 11:35:24

22-08-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ August 22, 2025, 2:39 am