(225)(265).jpg)
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (21 ส.ค.68) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,785.50 จุด ลดลง 152.81 จุด หรือ -0.34%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,370.17 จุด ลดลง 25.61 จุด หรือ -0.40% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,100.31 จุด ลดลง 72.55 จุด หรือ -0.34%
เนื่องจากนักลงทุนกังวล เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจส่งสัญญาณสนับสนุนการคุมเข้มนโยบายการเงิน (hawkish) ในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล ในวันนี้ นอกจากนี้ ผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่อย่างวอลมาร์ท (Walmart) ยังส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนเช่นกัน
นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของพาวเวลในวันนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินว่าพาวเวลจะส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.หรือไม่ หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอเมื่อไม่นานมานี้ โดยพาวเวลมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในเวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐฯ หรือตรงกับเวลา 21.00 น.ตามเวลาไทย
นักวิเคราะห์บริษัท CFRA Research กล่าวว่า แม้กระแสคาดการณ์บ่งชี้ว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. แต่ขณะนี้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจและระมัดระวังการซื้อขาย
ด้านนักวิเคราะห์บริษัท LPL Financial กล่าวว่า ความรู้สึกวิตกกังวลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในการประชุมที่แจ็กสัน โฮล ส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และหากพาวเวลส่งสัญญาณในเชิงสนับสนุนการคุมเข้มนโยบายการเงินมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ตลาดก็อาจเผชิญแรงเทขายอย่างหนัก
เจ้าหน้าที่หลายคนของเฟด ซึ่งรวมถึงเบธ แฮมแมก ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์, ราฟาเอล บอสติก ประธานเฟด สาขาแอตแลนตา และเจฟฟรีย์ ชมิด ประธานเฟด สาขาแคนซัสซิตี ต่างแสดงท่าทีระมัดระวังและตระหนักถึงความจำเป็นของการพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.4 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน จากระดับ 55.1 ในเดือนก.ค. ส่วนยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2% สู่ระดับ 4.01 ล้านยูนิตในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.92 ล้านยูนิต
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยขัดขวางการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.ของเฟด นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวยังส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรดีดตัวขึ้น ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาด
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคร่วงลง 1.18% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลง 0.71% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น 0.7% และหุ้นกลุ่มวัสดุปรับตัวขึ้น 0.26%
หุ้นวอลมาร์ท ดิ่งลง 4.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 68 เซนต์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 74 เซนต์ โดยระบุว่ามาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกรายอื่น ๆ เช่น ทาร์เก็ต (Target) และโฮม ดีโปท์ (Home Depot) เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรที่มีต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค
หุ้นโคตี้ (Coty) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่ ดิ่งลง 21.4% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ยอดขายในไตรมาสปัจจุบัน เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ อ่อนแอลง
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงหุ้น Nvidia, Meta, Amazon.com และ AMD ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงวิตกกังวลต่อการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
ขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
ข่าวเด่น