ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (2 ต.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (2 ต.ค.68) ที่ระดับ  32.43 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.38 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.28-32.46 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินบาทจะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับการย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลัง รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนกันยายน ลดลงถึง 3.2 หมื่นราย แย่กว่าที่ตลาดคาดว่า จะเพิ่มขึ้น 5.2 หมื่นราย ทำให้ ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงชัดเจน (แม้ว่า รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม Nonfarm Payrolls อาจมีการประกาศล่าช้า จากภาวะ Government Shutdown) อาจทำให้เฟดสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ถึง 2 ครั้งในปีนี้ (โอกาสเพิ่มสูงขึ้นเป็น 90%) และเฟดยังมีโอกาสราว 66% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปี 2026 อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็รีบาวด์สูงขึ้นบ้าง และกลับมาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับระดับก่อนรับรู้รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP หลังดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือนกันยายน ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 49.1 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาด นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากการทยอยปรับตัวลดลงของทั้งราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ซึ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด และยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ และยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ นำโดย Tesla +3.3% ขณะเดียวกัน บรรดาหุ้นกลุ่มยาก็ต่างปรับตัวขึ้นแรง อาทิ Eli Lilly +8.2% จากความหวังว่า หากมีดีลลดราคายาลง ตามความต้องการของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็อาจทำให้ทางการสหรัฐฯ ผ่อนปรนภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มยาได้ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.34% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกว่า +1.15% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นยา เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ อาทิ AstraZeneca +11.2% และ Roche +8.6% นอกจากนี้ ความคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ จากภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงยังหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง อาทิ ASML +1.6%

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังยอดการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯ โดย ADP ออกมา “ลดลงพอสมควร” สวนทางกับคาดการณ์ของตลาด ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง ใกล้ระดับ 4.09% แม้ว่ารายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตจะออกมาแย่กว่าคาด แต่ก็ยังไม่สามารถกดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงเผชิญภาวะ Data Blindness เนื่องจากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อย่าง Nonfarm Payrolls ได้ถูกเลื่อนประกาศจากภาวะ Government Shutdown ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนบ้าง ตามการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ และจะกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงาน ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงเร็ว จากรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ รวมถึงรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตที่ออกมาดีกว่าคาด ก็พอช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวโซน 97.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.4-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ผู้เล่นในตลาดได้เลือกทยอยขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา หลังภาวะ Government Shutdown ได้เกิดขึ้นจริง (Sell on Fact ตามที่เราประเมินไว้) อีกทั้งบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมก็อยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลง สู่โซน 3,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) และยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงาน (Factory Orders) ในเดือนกันยายน รวมถึง รายงานข้อมูลตลาดแรงงานจากฝั่งภาคเอกชน อย่าง Challenger Job Cuts หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Initial Jobless Claims) อาจมีการเลื่อนประกาศจากผลกระทบของภาวะ Government Shutdown นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด 

ทางฝั่งเอเชียนั้น ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามภาวะตลาดแรงงานของญี่ปุ่น เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOJ มีโอกาสราว 76% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย อีก 1 ครั้ง 25bps ในช่วงที่เหลือของปีนี้   

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown เนื่องจากหากภาวะดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานานก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้พอสมควร 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) นอกจากนี้ เงินบาทอาจเผชิญปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หากผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ทยอยปรับลดสถานะดังกล่าว หรือเริ่มมีการ Stop Loss หลังเงินบาทได้ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้านอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ 

อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าลง หรือ แข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน เนื่องจากในช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงภาวะ Data Blindness หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน ได้ถูกเลื่อนประกาศ จากภาวะ Government Shutdown ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่เร่งรีบปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน

ทว่า ในส่วนของราคาทองคำนั้น เรามองว่า หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงได้บ้าง และหากผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยปิดสถานะ Long Gold (มองราคาทองคำปรับตัวขึ้น) ก็อาจยิ่งกดดันให้ราคาทองคำ ซึ่งปรับตัวขึ้นเร็ว แรงในช่วงนี้ เข้าสู่ช่วงการพักฐาน และอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ เช่นเดียวกันกับ การปรับฐานของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ จากความกังวลกลุ่ม OPEC+ อาจเพิ่มกำลังการผลิต และความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาด อย่าง กลุ่มพลังงาน เลือกที่จะทยอยเข้าซื้อน้ำมันดิบ (Buy on Dip) โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาทได้เช่นกัน 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 02 ต.ค. 2568 เวลา : 10:09:54

03-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 3, 2025, 6:35 am