(279)(361).jpg)
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (16 ต.ค.68) ที่ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways เหนือโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.62 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มีส่วนกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง (ร่วมกับแรงขายทำกำไรทองคำ) ทว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลง หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ที่สะท้อนว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ท่ามกลางการชะลอตัวลงที่ชัดเจนขึ้นของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่วนเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน อาทิ Stephen Miran ก็มองว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน อาจเป็นตัวแปรที่เร่งการลดดอกเบี้ยของเฟดได้ นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ยังได้หนุนการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) สู่โซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยรายงานผลประกอบการของกลุ่มสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ขณะเดียวกัน บรรดาหุ้นกลุ่ม AI/Semiconductor ก็พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น อาทิ AMD +9.4%, Broadcom +2.1% หนุนโดยความหวังการเติบโตของธุรกิจ AI/Semiconductor หลังล่าสุด ASML รายงานผลประกอบการที่สดใส ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.40% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.66%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังพลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.57% หนุนโดยรายงานผลประกอบการที่สดใสของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อย่าง LVMH +12.2% และหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +3.1% อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ประเด็นการเมืองฝรั่งเศส อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน แม้มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซน 4.05% ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทว่า ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ล่าสุด ที่สะท้อนว่าเฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงรอจับตาความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 4.03% โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็สอดคล้องกับ มุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ข้อมูลการจ้างงาน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว (เกือบ fully priced-in แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดรวม 5 ครั้ง จนถึงสิ้นปี 2026) โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง กดดันโดยการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้งเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ได้แรงหนุนจากการ Unwind Sanae Takaichi Trades จากประเด็นความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น ส่วนเงินยูโร (EUR) ก็พอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงในฝั่งตลาดหุ้นยุโร นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ก็มีส่วนกดดันเงินดอลลาร์ ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่โซน 98.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.0 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะย่อตัวลงบ้าง อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดก็ยังมีความกังวลต่อประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แต่บรรยากาศของตลาดการเงินที่เริ่มกลับมาสู่ภาวะเปิดรับความเสี่ยง กอปรกับแรงขายทำกำไรทองคำ ได้จำกัด การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทำให้โดยรวมราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ใกล้โซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีภาวะภาคธุรกิจ ทั้งในฝั่งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ จากเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย
ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจรายเดือนและรายงานยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนสิงหาคม
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง รายงานยอดสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้ พร้อมรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown รวมถึงสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เราจะคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่เรายอมรับว่า โมเมนตัมของเงินบาทได้อ่อนค่าลงมากขึ้น หลังเงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมตั้งแต่ตลาดกลับมากังวลประเด็นความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ล่าสุด ขณะเดียวกันประเด็นดังกล่าว ก็ได้หนุนให้ ราคาทองคำยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าได้ จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แต่หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน ก็จะมีโซนแนวรับในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญถัดไป
อย่างไรก็ดี เรายังคงมีความกังวลว่า หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เร็ว แรง ในช่วงระยะสั้น ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับฐานหนักในช่วงนี้ได้ โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำล่าสุด ได้เข้าสู่ Danger Zone (ราคาปรับตัวขึ้นเกิน +28% จากเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งเราใช้เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน) ที่หากอ้างอิงสถิติในอดีต เราพบว่า ราคาทองคำจะเข้าสู่ช่วงการปรับฐานได้ทุกครั้ง (100%) โดยหากราคาทองคำปรับตัวลงและเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้ไม่ยาก ซึ่งเงินบาทมีความอ่อนไหว (Beta/Sensitivity) กับการปรับตัวลงของราคาทองคำ ราว 0.2-0.3 ทำให้ หากราคาทองคำเข้าสู่การปรับฐานจริง อ้างอิงจากสถิติในอดีตที่เฉลี่ยจะย่อตัวลงราว -9% ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ราว -1.8% ถึง -2.7% เปิดโอกาสที่เงินบาทอาจสามารถอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ (แต่ต้องอ่อนค่าผ่านโซนแนวต้าน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ ให้สำเร็จก่อน)
และที่สำคัญเราขอย้ำว่า ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์
ข่าวเด่น