(225)(296).jpg)
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (15 ต.ค.68) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 46,253.31 จุด ลดลง 17.15 จุด หรือ -0.04% แต่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,671.06 จุด เพิ่มขึ้น 26.75 จุด หรือ +0.40% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,670.08 จุด เพิ่มขึ้น 148.38 จุด หรือ +0.66% ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธนาคาร Morgan Stanley และ Bank of America ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้น 1.5% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพุ่งขึ้น 1.3% ส่วนหุ้นกลุ่มวัสดุและกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลง 0.5% และ 0.47% ตามลำดับ
หุ้น Morgan Stanley พุ่งขึ้น 4.7% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่หุ้นธนาคาร Bank of America พุ่งขึ้น 4.4% หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 3/2568 ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารในดัชนี S&P500 ดีดตัวขึ้น 1.2%
ก่อนหน้านี้ ธนาคารหลายแห่งของสหรัฐฯ ได้รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดเช่นกัน ซึ่งรวมถึง JPMorgan Chase, Goldman Sachs และ Citigroup โดยข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสหรัฐฯ และส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี
ดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia SE Semiconductor Index) พุ่งขึ้น 3% หลังจาก ASML ผู้ผลิตเครื่องจักรผลิตชิปรายใหญ่สัญชาติเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยกำไรจากการดำเนินงานและยอดขายที่สูงเกินคาดในไตรมาส 3/2568 โดยได้ปัจจัยหนุนจากกระแสความนิยมด้านการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั้งนี้ หุ้น ASML ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 2.7%
หุ้นบริษัทอาหารและเกษตรพุ่งขึ้น โดย Bunge Global ทะยานขึ้น 12.9% ขณะที่หุ้น Archer-Daniels-Midland พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ระงับการนำเข้าน้ำมันพืชจากจีน เพื่อตอบโต้ต่อการที่จีนหยุดซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ จีนเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด แต่การทำสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่ได้ซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐแม้แต่ล็อตเดียวนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีนี้ โดยได้หันไปซื้อจากบราซิลและอาร์เจนตินา
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยล่าสุด สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่า สหรัฐฯ ไม่ต้องการให้ความขัดแย้งด้านการค้ากับจีนทวีความรุนแรงมากขึ้น และย้ำว่าปธน.ทรัมป์พร้อมที่จะพบปะกับปธน.สี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่เกาหลีใต้ในช่วงปลายเดือนนี้
นอกจากนี้ เบสเซนต์ เปิดเผยว่า เขาวางแผนที่จะเสนอชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จำนวน 3 หรือ 4 คนให้ปธน.ทรัมป์สัมภาษณ์ ในข่วงหลังวันหยุดเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving)
ด้านสตีเฟน มิแรน สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟดเปิดเผยกับ CNBC ว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากตลาดแรงงานอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ที่เฟดได้รวบรวมจนถึงวันที่ 6 ต.ค.บ่งชี้ว่า มีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่เลย์ออฟพนักงานเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และหันไปเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยี AI นอกจากนี้ จำนวนแรงงานในธุรกิจด้านการบริการ การเกษตร การก่อสร้าง และการผลิต เริ่มลดน้อยลง เนื่องจากมาตรการปราบปรามคนเข้าเมืองผิดกฎหมายของรัฐบาลทรัมป์
ข่าวเด่น