ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (27 ต.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.68 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (27 ต.ค.68) ที่ระดับ  32.68 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.76 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.63-32.79 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการทยอยอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายน ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง นอกจากนี้ รายงานดัชนี S&P PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม ก็ปรับตัวสูงขึ้น ดีกว่าคาด หนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมารีบาวด์สูงขึ้นบ้าง กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง กลับสู่ระดับใกล้เคียงก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ 

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ท่ามกลางความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น ผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด, BOJ และ ECB พร้อมรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ของสหรัฐฯ

 
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

* ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยบรรดานักวิเคราะห์ (และเรา) ผู้เล่นในตลาด ต่างประเมินว่า เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.75-4.00% และอาจมีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยยุติการปรับลดงบดุล (Quantitative Tightening) ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่วนอัตราเงินเฟ้อแม้จะอยู่ในระดับสูง จากผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทว่าก็มีแนวโน้มทยอยชะลอตัวลงกลับสู่เป้าหมายของเฟดได้ในอนาคต  นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา พัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน อาทิ หุ้นเทคฯ ใหญ่ ในกลุ่ม the Magnificent 7 (Meta, Microsoft, Alphabet, Amazon และ Apple) ซึ่งรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งหากผลประกอบการออกมาน่าผิดหวังหรือคาดการณ์ผลประกอบการไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งที่ตลาดคาดหวัง ก็อาจกดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานหนักได้

* ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยบรรดานักวิเคราะห์และผู้เล่นในตลาดต่างเห็นพ้องกันว่า ECB อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ตามเดิม แต่อาจมีเน้นย้ำว่า ECB พร้อมปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ ถ้าจำเป็น นอกเหนือจากผลการประชุม ECB ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของยูโรโซน อย่าง อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนตุลาคม (รวมถึงอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ที่สำรวจโดย ECB) และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนตุลาคม 

* ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งผู้เล่นในตลาดมองว่า BOJ มีโอกาสเพียง 11% ที่จะขึ้นดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมครั้งนี้ ทว่า ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOJ ยังมีโอกาสราว 48% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ และมองว่า ในปี 2026 BOJ ก็มีแนวโน้มทยอยเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างน้อย 1 ครั้ง หลังอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นก็ยังอยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็อาจพอได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังภายใต้นายกฯ Sanae Takaichi ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง สู่ระดับ 0.75% ในปีนี้ และเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปี 2026 สู่ระดับ 1.00% โดยแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ดังกล่าวก็จะมีส่วนช่วยหนุนการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่ระดับ 140 เยนต่อดอลลาร์ ได้ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า จากการประเมินของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่นในเดือนกันยายน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales), ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และอัตราการว่างงาน ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่าน รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Non-Manufacturing PMIs) ในเดือนตุลาคม   

* ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการค้าระหว่างประเทศของไทยอาจเผชิญผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น หลังหมดอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าไทย (Front-Loading) ในช่วงก่อนหน้า โดยยอดการส่งออก (Exports) อาจขยายตัวเพียง +7%y/y ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะโตราว +10%y/y ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนล่าสุด หากทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจกดดันการค้าโลกและส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจชะลอลงบ้าง โดยยังคงเห็นโซนแนวต้านของเงินบาท (USDTHB) ในช่วง 32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านสำคัญถัดไป 33.00 บาทต่อดอลลาร์) หลังราคาทองคำยังพอมีจังหวะทยอยรีบาวด์สูงขึ้นจากโซนแนวรับ ขณะเดียวกัน บรรดานักลงทุนต่างชาติได้ทยอยซื้อสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (และเงินดอลลาร์) เผชิญความเสี่ยง Two-way risk โดยต้องจับตาการเคลื่อนไหวของราคาทองคำอย่างใกล้ชิด หลังในช่วงนี้ เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาทองคำมากขึ้น ซึ่งราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง โดยราคาทองคำอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมได้ หากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนออกมาสดใส ดีกว่าคาด หนุนให้ตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ทว่า หากรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด กดดันให้ตลาดปิดรับความเสี่ยง ก็อาจช่วยให้ราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้เช่นกัน 

หากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่า เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.40-33.00 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 27 ต.ค. 2568 เวลา : 10:16:04

27-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 27, 2025, 5:29 pm