ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (28 ต.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.64 บาทต่อดอลลาร์



 
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (28 ต.ค.68) ที่ระดับ  32.64 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.71 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.63-32.78 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง เข้าใกล้โซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ตามการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำ (XAUUSD) จนหลุดโซนแนวรับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่า เงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตามการทยอยอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ โดยเฉพาะในการประชุม FOMC เดือนตุลาคม ที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้งเงินยูโร (EUR) ซึ่งได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซน อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ดีกว่าคาด ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นจากโซน 153 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่แคบลง ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็มองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังพอมีโอกาสราว 50% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ 

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ท่ามกลางความหวังแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ยังคงทยอยออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.23% นำโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Tesla +4.3%, Alphabet +3.6% เป็นต้น

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.22% หนุนโดยความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันบ้าง จากแรงขายบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare  ตามการปรับลดคำแนะนำการลงทุนจากบรรดานักวิเคราะห์ใน Roche -1.4% และผลกระทบจากการบรรลุข้อตกลงเข้าซื้อกิจการของ Novartis ที่กดดันราคาหุ้น Novartis -0.9%

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงต่ำกว่า โซน 4.00% อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตามคาด โดยเฉพาะในการประชุม FOMC เดือนตุลาคม นี้ อย่างไรก็ดี บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยรวมได้เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา สะท้อนว่า ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงผลการประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เราขอเน้นย้ำว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดบอนด์สหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว จนอาจทำให้บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ เสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้ โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยลดสถานะ Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น) ก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.7-98.9 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) เผชิญแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากจังหวะการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทำให้ ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้น สู่โซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนตุลาคม รวมถึง รายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขา อาทิ ดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรมโดยเฟดสาขา Richmond และดัชนีภาคการบริการโดยเฟดสาขา Dallas เป็นต้น 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาท (USDTHB) ได้อ่อนกำลังลง หลังเงินดอลลาร์เริ่มทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ก่อนผู้เล่นในตลาดรับรู้ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะผลการประชุม FOMC ของเฟด ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ อาจเป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว ถึงจะเห็นการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนอีกครั้ง 

อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ และเงินบาท (USDTHB) จะยังคงอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่า จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน โดยในช่วงปลายเดือน เรามองว่า แม้เงินบาทจะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ประกอบการ อย่างฝั่งผู้นำเข้าในช่วงปลายเดือน (Month-end Flows) ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) ในช่วงนี้ เมื่อเทียบกับเงินบาท ก็มีส่วนหนุนให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อเงินเยนญี่ปุ่น และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท โดยเงินบาทก็อาจติดแถวโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ 

อนึ่ง เราขอเน้นย้ำว่า เงินบาทได้เคลื่อนไหวผันผวนสูงขึ้น จากอิทธิพลของโฟลว์ธุรกรรมทองคำ เนื่องจากในช่วงนี้ ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ ทั้งจังหวะการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำ และการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (ซึ่งในช่วงนี้ก็มักจะเห็นการปรับตัว ขึ้น-ลง ในระดับ เกิน 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเวลาสั้นๆ) ก็ส่งผลให้ เงินบาทอ่อนค่าลง หรือ แข็งค่าขึ้นมาบ้างได้ โดยจากการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของทั้งราคาทองคำและเงินบาท เราพบว่า เงินบาทมีความอ่อนไหวต่อทิศทางราคาทองคำ (Beta, Sensitivity) ราว 0.2 ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง และราว 0.3 ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น โดยในช่วงระยะสั้นนี้ หากราคาทองคำ (XAUUSD) ไม่ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนหลุด โซนแนวรับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างชัดเจน เราประเมินว่า ราคาทองคำก็อาจมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง และอาจพอช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท หรืออาจหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ หากในช่วงนั้น เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเช่นกัน 

และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.75 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 28 ต.ค. 2568 เวลา : 10:37:45

29-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 29, 2025, 12:50 am