(225)(305).jpg)
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (3 พ.ย.68) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,336.68 จุด ลดลง 226.19 จุด หรือ -0.48% โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ รวมทั้งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เนื่องจากการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้เฟดขาดแคลนข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวก โดย ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,851.97 จุด เพิ่มขึ้น 11.77 จุด หรือ +0.17% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,834.72 จุด เพิ่มขึ้น 109.77 จุด หรือ +0.46% ขานรับข่าวการทำข้อตกลงด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระหว่างบริษัท Amazon และ OpenAI
หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลงและเป็นปัจจัยฉุดดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบ โดยหุ้น UnitedHealth Group และหุ้น Merck ดิ่งลง 2.3% และ 4.1% ตามลำดับ
การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ หรือชัตดาวน์ ได้ย่างเข้าสู่วันที่ 34 ในวันจันทร์ ทำให้การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด ซึ่งส่งผลให้ผู้กำหนดนโยบายและภาคธุรกิจขาดข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในการตัดสินใจ ด้านนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การขาดข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้การคาดการณ์ของตลาดถูกบิดเบือน และทำให้การตัดสินใจในการลงทุนของภาคเอกชนต้องล่าช้าออกไปด้วย
ทางด้านเฟด หลังจากที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป เนื่องจากปัญหาชัตดาวน์ทำให้เฟดขาดแคลนข้อมูลที่สำคัญ และล่าสุด เจ้าหน้าที่เฟดยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยสตีเฟน มิแรน หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดสนับสนุนให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ขณะที่ออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก มีท่าทีระมัดระวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดบวก หลังจากบริษัท Amazon ประกาศทำข้อตกลงมูลค่า 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์กับ OpenAI เพื่อเปิดทางให้ OpenAI ดำเนินการและขยายงานด้าน AI บนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของ Amazon Web Services ข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้น Amazon พุ่งขึ้น 4%
หุ้น Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น 2.2% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า ชิป Blackwell ซึ่งเป็นชิปที่มีสมรรถนะขั้นสูงสุดของ Nvidia จะถูกสงวนไว้สำหรับบริษัทในสหรัฐฯ เท่านั้น และจะไม่ให้จีน รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ได้ครอบครอง
หุ้น Kimberly-Clark ร่วงลง 14.6% หลังประกาศซื้อกิจการบริษัท Kenvue ซึ่งเป็นผู้ผลิตยา Tylenol คิดเป็นมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้น Kenvue ปิดตลาดพุ่งขึ้น 12.3%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตปรับตัวลงสู่ระดับ 48.7 ในเดือนต.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 49.4 จากระดับ 49.1 ในเดือนก.ย.
ทางด้านเอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.5 ในเดือนต.ค. จากระดับ 52.0 ในเดือนก.ย. โดยดัชนี PMI ปรับตัวสูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะขยายตัวของภาคการผลิตสหรัฐฯ และเป็นการขยายตัวติดต่อกันเดือนที่ 3
นักลงทุนจับตาศาลฎีกาสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดไต่สวนในวันพุธนี้ (5 พ.ย.) ต่อคดีที่ว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของเขา โดยระบุว่า ปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนจากออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) ในวันพุธนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มตลาดแรงงานของสหรัฐฯ
ข่าวเด่น