(225)(307).jpg)
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (4 พ.ย.68) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 47,085.24 จุด ลดลง 251.44 จุด หรือ -0.53%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,771.55 จุด ลดลง 80.42 จุด หรือ -1.17% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,348.64 จุด ลดลง 486.09 จุด หรือ -2.04% หลังจากธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ เตือนว่าตลาดหุ้นอาจเข้าสู่ภาวะปรับฐาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป และอาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น
ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีร่วงลง หลังจากเดวิด โซโลมอน ซีอีโอของธนาคาร Goldman Sachs กล่าวว่า “มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานลงราว 10-20% ภายในเวลา 12-24 เดือนข้างหน้า” ขณะที่ เท็ด พิค ซีอีโอของธนาคาร Morgan Stanley กล่าวว่า “เราควรเตรียมตัวรับมือการปรับฐานราว 10-15% ซึ่งไม่ได้เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจระดับมหภาค”
คำกล่าวของซีอีโอ Goldman Sachs และ Morgan Stanley เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ เจมี ไดมอน ซีอีโอของ JPMorgan Chase เคยเตือนในเดือนต.ค.ที่ผ่านมาว่า ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเผชิญกับการปรับฐานลงอย่างมีนัยสำคัญภายในเวลา 6 เดือนถึง 2 ปีข้างหน้า โดยอ้างถึงปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
ทั้งนี้ คำเตือนของซีอีโอธนาคารรายใหญ่ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในตลาด หลังจากตลาดพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P500 ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากกระแสความเฟื่องฟูของปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงปิดทำการเนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์ ซึ่งเป็นผลจากการที่สภาคองเกรสไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว โดยขณะนี้การชัตดาวน์กำลังเข้าใกล้สถิติที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้นักลงทุนขาดข้อมูลอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล และหันไปพึ่งพาข้อมูลจากแหล่งอื่น ซึ่งรวมถึงตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนที่ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) ADP จะเปิดเผยในวันนี้ (5 พ.ย.)
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดได้ส่งสัญญาณที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. โดย ลิซา คุก หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด กล่าวว่า ความเสี่ยงที่สูงขึ้นทั้งด้านการจ้างงานและการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายของเฟดนั้น ทำให้เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมในวันที่ 9-10 ธ.ค. แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน ขณะที่ ออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า เขายังคงใช้ความระมัดระวังในการสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลงหนักสุดถึง 2.3% นำโดยหุ้น Palantir Technologies ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ดิ่งลง 8% แม้บริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 4 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยนับตั้งแต่ต้นปีนี้ หุ้น Palantir Technologies ทะยานไปแล้วขึ้นกว่า 152% ขณะที่นักลงทุนเริ่มกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่แพงเกินจริง
ส่วนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ดิ่งลงเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่ม “Magnificent Seven” โดยหุ้น Nvidia ร่วงลง 4% และหุ้น Meta ลดลง 1.6% ขณะที่ดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia SE Semiconductor Index) ร่วงลง 4%
หุ้น Uber ร่วงลง 5.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรรายไตรมาสที่สูงเกินคาด ส่วนหุ้น Spotify ร่วงลง 2.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง
ข่าวเด่น