เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
วิจัยกรุงศรีวิเคราะห์ "เศรษฐกิจโลก ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศแกนหลักยังสะท้อนภาพที่อ่อนแอ หนุนธนาคารกลางใช้นโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายต่อเนื่อง ด้านจีนต้องรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น"


สหรัฐฯ
 
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอต่อเนื่อง หนุนโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยเดือนกันยายน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 97.4 ในเดือนสิงหาคม ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2566-67 ที่ 105 ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานอยู่ที่ 1.95 ล้านราย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากต้นปี 2568 ที่ 1.87 ล้านราย ด้านราคาบ้านในเดือนมิถุนายนชะลอตัวมากสุดในรอบเกือบ 13 ปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ PCE ทรงตัวที่ 2.6% YoY ในเดือนกรกฎาคม 

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสะท้อนภาพการชะลอตัวที่ต่อเนื่อง อาทิ ตลาดแรงงาน ตลาดที่อยู่อาศัย และความเชื่อมั่น ขณะที่ความพยายามของประธานาธิบดีทรัมป์ในการปลดลิซ่า คุก ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเฟดที่มีสิทธิ์โหวตทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย สร้างความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางและความน่าเชื่อถือด้านเครดิตของประเทศสหรัฐฯ ขณะเดียวกันการขึ้นภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของทรัมป์ผิดกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ได้ระงับผลของคำตัดสินไว้จนถึงวันที่ 14 ตุลาคม เพื่อให้ทรัมป์มีเวลายื่นต่อศาลฎีกาต่อไป ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนต่อนโยบายดังกล่าวในระยะข้างหน้า จากความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นในหลายแง่มุม วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้

 
ญี่ปุ่น
 
ภาคส่งออกและการผลิตมีแนวโน้มหดตัวแรงขึ้น ขณะที่การบริโภคยังไม่ฟื้น คาดหนุน BOJ คงดอกเบี้ยที่ 0.5% จนถึงสิ้นปี  ยอดค้าปลีกในเดือนกรกฎาคมโตต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่ 0.3% YoY ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) ชะลอลงเหลือ 2.6% ในเดือนสิงหาคม จากเดือนก่อนที่ 2.9% เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของกรุงโตเกียว (Tokyo core CPI) ชะลอลงสู่ระดับ 2.5% จากเดือนก่อนที่ 2.9%
 
ภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเติบโตต่ำเนื่องจากภาคการส่งออกและการผลิตมีแนวโน้มหดตัวแรงขึ้นภายใต้แรงกดดันจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น ขณะที่การบริโภคภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ส่วนอัตราเงินเฟ้อปรับลดลงต่อเนื่องจากราคาพลังงานที่อยู่ในระดับต่ำรวมถึงมาตรการอุดหนุนค่าไฟฟ้าและระบายสต๊อกข้าว จากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะช่วยหนุนให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไปแม้เงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% โดยวิจัยกรุงศรีประเมินว่ายังมีความเป็นไปได้ที่ BOJ จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% จนถึงสิ้นปีนี้

 
จีน
 
เศรษฐกิจจีนเผชิญความเปราะบางภายในประเทศ ขณะที่ความเสี่ยงจากภายนอกเพิ่มสูงขึ้น กำไรภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องที่ -1.5% YoY ในเดือนกรกฎาคม จาก -4.3%  ในเดือนมิถุนายน ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตลดลงต่อเนื่องนาน 34 เดือน สำหรับปัจจัยภายนอก เม็กซิโกประกาศเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนหลังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะครอบคลุมยานยนต์ สิ่งทอ และพลาสติก

ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่เริ่มอ่อนแอลง อาจจำกัดประสิทธิผลของมาตรการแก้ไขปัญหาอุปทานส่วนเกินและการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรง ซึ่งกดดันกำไรภาคธุรกิจในระยะที่ผ่านมา ล่าสุดรัฐบาลเตรียมยกเครื่องกำลังการผลิตในกลุ่มปิโตรเคมีภัณฑ์ โดยจะทยอยปิดโรงงานขนาดเล็ก สนับสนุนการปรับปรุงโรงงานที่มีอายุเกิน 20 ปี และเน้นการผลิตเคมีภัณฑ์เฉพาะทางมากขึ้น อีกด้านหนึ่งการเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าของเม็กซิโกตามแรงกดดันจากสหรัฐฯ สะท้อนความเสี่ยงที่ขยายวงกว้างขึ้น โดยสหรัฐฯ อาจกดดันชาติพันธมิตรอื่นเพิ่มเติมเพื่อจำกัดอิทธิพลของจีนในตลาดโลก ภายใต้ความเสี่ยงรอบด้านนี้ การเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของภาคประชาชนและธุรกิจเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศจึงมีความจำเป็น และนับเป็นความท้าทายด้วยเช่นกัน

 


เศรษฐกิจไทย
แรงส่งเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังแผ่วลงท่ามกลางแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ

เศรษฐกิจในเดือนกรกฎาคมชะลอลงจากเดือนก่อนตามภาคท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาคเอกชน ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังต้องติดตามพัฒนาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนกรกฏาคม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแม้เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (+2.0% MoM sa) แต่รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว (-5.6%) ขณะเดียวกันการบริโภคภาคเอกชนแผ่วลงต่อเนื่อง (-0.2%) จากการหดตัวของการใช้จ่ายในหมวดบริการและหมวดสินค้าไม่คงทน ส่วนการลงทุนภาคเอกชนกลับมาหดตัว (-0.4%) จากการลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย (+0.3%) 

เศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2568 เผชิญแรงกดดันและมีแนวโน้มชะลอลงชัดเจน ภายใต้สมมติฐานสถานการณ์การเมืองมีผลกระทบจำกัดต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตอาจเหลือเพียง 1.3% จาก 3.0% ในครึ่งปีแรก สาเหตุหลักมาจากการส่งออกที่ชะลอลง หลังผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เริ่มปรากฏชัด ประกอบกับแรงส่งจากคำสั่งซื้อที่เร่งส่งออกในช่วงก่อนหน้าได้สิ้นสุดลง ขณะเดียวกันภาคท่องเที่ยวยังมีทิศทางฟื้นตัวช้าตามการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีน ทั้งนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินให้นางสาวแพทองธารพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน กดดันการใช้จ่ายในประเทศ และทำให้ความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจสำคัญสะดุดลง

 
มูลค่าส่งออกเดือนกรกฏาคมในรูปดอลลาร์ยังเติบโตสูงต่อเนื่อง แต่ในรูปเงินบาทกลับหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน สะท้อนแรงส่งทางเศรษฐกิจอ่อนแอลง กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 28.6 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.0% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และทองคำ การส่งออกเติบโต 16.6% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ แผงวงจรไฟฟ้า รวมถึงสินค้าเกษตรโดยเฉพาะผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้งที่กลับขยายตัวได้ดี ด้านตลาดส่งออกพบว่าตลาดสำคัญส่วนใหญ่เติบโตดี โดยเฉพาะตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป และอาเซียน สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 195.4 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 14.4% 

แนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี 2568 มีความเสี่ยงชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ แม้ในช่วง 7 เดือนแรกจะขยายตัวสูงถึง 30.1% แต่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยจาก 10% เป็น 19% ตั้งแต่ 7 สิงหาคม ย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ แนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องยังซ้ำเติมภาคการส่งออก ทั้งในแง่รายได้เมื่อแปลงเป็นเงินบาทและการแข่งขันด้านราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค โดยล่าสุดมูลค่าส่งออกในรูปเงินบาทเดือนกรกฎาคมหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนที่ -1.1% YoY สะท้อนว่าบทบาทของภาคการส่งออกในฐานะเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแรงลงในระยะข้างหน้า
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 02 ก.ย. 2568 เวลา : 18:40:19
03-09-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (2 ก.ย.2568) บวก 4.30 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,248.78 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (2 ก.ย.68) บวก 4.36 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,248.84 จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีแนวรับที่ระดับ 3,475 เหรียญ และมีแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 3,510 เหรียญ

4. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.20 -32.45 บาท/ดอลลาร์

5. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (2 ก.ย.68) ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง ที่ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์

6. พยากรณ์อากาศวันนี้ (2 ก.ย.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้ ฝั่ง ตต." ฝนตกหนัก 70% ภาคเหนือ 60% ภาคใต้ ฝั่ง ตอ.40%

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (2 ก.ย. 68) พุ่งขึ้น 300 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 54,100 บาท

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (2 ก.ย.68) บวก 4.35 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,248.83 จุด

9. ตลาดหุ้นปิด (1 ก.ย.68) บวก 7.87 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,244.48 จุด

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (1 ก.ย.68) บวก 3.16 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,239.77 จุด

11. MTS Gold ราคาทองคำในวันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับที่ระดับ 3,450 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,500 เหรียญ

12. พยากรณ์อากาศวันนี้ (1 ก.ย.68) ภาคเหนือ-ภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่ง ตต. ฝนตกหนัก 70% กรุงเทพปริมณฑล และภาคอื่นๆ 60%

13. ทองเปิดตลาดวันนี้ (1 ก.ย. 68) ปรับขึ้น 200 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 53,600 บาท

14. ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ ( 1 ก.ย.68) ลบ 1.49 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,235.12 จุด

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (1 ก.ย.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.32 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 3, 2025, 2:31 am