นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกับสื่อมวลชนครั้งแรกอย่างเป็นทางการ หลังเข้ารับตำแหน่ง ในงาน “GovernorConnect” ครั้งที่ 1/2568 ถึงแนวทางการทำงานของ ธปท. ที่มุ่งยึดมั่นในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะเรื่องของเงินเฟ้อ เสถียรภาพระบบการเงิน สถาบันทางการเงินที่เข้มแข็ง และความเป็นอิสระของ ธปท.ในการดำเนินงานที่พร้อมจะร่วมมือกับทุกหน่วยงานเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ ตลอดจนให้ความสำคัญในการออกมาตรการเฉพาะจุดที่ต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง อย่างการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ AMC กลาง ผ่านการดำเนินงานของ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ที่คาดว่าจะเข้าช่วยเหลือคนที่มีหนี้ที่ต่ำกว่า 1 แสนบาท ได้ถึง 2 ล้านคน โดยจะมีความชัดเจนอย่างเร็วที่สุดภายในเดือนตุลาคมนี้
สำหรับแนวทางการทำงานของ ธปท. ภายใต้การขับเคลื่อนของ วิทัย รัตนากร นั้น จะอยู่ในกรอบของการสานต่อพันธกิจหลักของธนาคาร คือ
1. การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน (Low and Stable) รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด และให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง
2. เสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินเข้มแข็ง มีความมั่นคง สามารถให้บริการลูกหนี้ ประชาชน และธุรกิจ ได้ต่อเนื่อง และดูแลไม่ให้เกิดจุดเปราะบางในระบบการเงินที่อาจลุกลามกลายเป็นวิกฤตในอนาคต
3. เสถียรภาพระบบการชำระเงิน ดูแลให้ระบบมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และด้วยราคาที่สมเหตุสมผล
นายวิทัย กล่าวว่า จากระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 1.50% ถือว่าอยู่ในระดับต่ำประมาณหนึ่ง และการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ได้ทยอยลดอัตราดอกเบี้ยลงมารวมแล้ว 1% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมานี้ ยังต้องใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน เป็นอย่างต่ำ ถึงจะเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ แต่ทางธปท. ก็อยู่ในสภาวะผ่อนคลายที่พร้อมจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก หากมีความจำเป็นต้องดูแลปัญหาของเงินเฟ้อและเงินฝืด เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจให้เกิดเสถียรภาพ
โดยเรื่องเงินเฟ้อนั้น หากพิจารณาถึงเงินเฟ้อพื้นฐาน หรือ Core Inflation ในหมวดพลังงานและอาหาร คาดการณ์ว่า ปีหน้าจะยังคงอยู่ที่ 0.9% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปที่ลงมาในระดับปัจจุบัน มาจากสาเหตุที่ราคาพลังงานและอาหาร ที่มีสัดส่วนเกือบ 50% ได้ลดลงจากปีที่แล้ว ทำให้ตัวเลขอาจจะดูต่ำ แต่ก็คาดว่าจะทยอยขึ้นมา ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อในระยะปานกลางจะกลับเข้ามาอยู่ในกรอบแน่นอน ที่ 1-3% ตอนนี้จึงยังไม่มีความกังวลในด้านของสภาวะเงินฝืดว่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
“ในช่วงเวลานี้ เรายังไม่เห็นสัญญาณของเงินฝืด เพราะความหมายของเงินฝืดในเชิงเศรษฐศาสตร์ หมายถึงระดับของราคาสินค้าและบริการลดลงในวงกว้าง ซึ่งเกิดจากดีมานด์ที่อ่อนตัวอย่างชัดเจน ที่ Core Inflation ต้องติดลบลงไป แต่วันนี้เงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ที่ระดับ 0.9% แปลว่า ยังมีดีมานด์ Support อยู่เกือบหนึ่งหลัก ยังไม่มีการลดลงของราคาสินค้าที่กระจายไปในวงกว้าง เพียงแต่ที่มันลดลงมาเล็กน้อยนั้น เป็นเพราะผลของราคาน้ำมันพลังงานและอาหาร ที่มีสัดส่วนเกือบ 50 % ลดลงจากช่วงปีที่แล้ว” นายวิทัย กล่าว
สำหรับเรื่องค่าเงินบาท ทาง ธปท. มีการดูแลติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน พิจารณาจาก Year to Date พบว่า ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งค่าเท่ากับช่วงปีที่แล้ว โดยในตอนนี้เงินบาทไทยแข็งค่าประมาณ 4.5% นับว่ายังไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่แข็งค่ากว่า แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยการขึ้นลงของเงินบาทไทย นอกจากได้รับอิทธิพลจากเงินดอลลาร์แล้ว เงินทุนที่ไหลเข้าออกก็เป็นปัจจัยส่งเสริมค่าเงินบาทเช่นกัน ซึ่งตอนนี้ ธปท.ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ติดตามตรวจสอบเส้นทางของธุรกรรมทางการเงินที่มีความน่าสงสัยที่เข้ามายังประเทศไทยและมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่ง ณ ขณะนี้ อยู่ในระยะเริ่มต้นของการปราบปรามเงินที่เข้ามาอย่างไม่พึงประสงค์เพื่อรักษาค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับเหมาะสม
ส่วนราคาทองคำที่กำลังพุ่งขึ้นสูง อันเป็นตัวผลักดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากการที่ร้านทองมีการขายออกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐและซื้อเป็นเงินบาทกลับมาผ่านการเทรดบนแอพลิเคชั่นนั้น เบื้องต้นทาง ธปท.ได้กำลังหารือกับร้านทองต่าง ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจำเป็นต้องเข้าไปดูแลไหม หากจำเป็นก็มีโอกาสที่จะเข้าหารือกับทางกระทรวงการคลังและออกการกำกับดูแลในอนาคต
ให้คำมั่นว่า ธปท. เป็นอิสระจากการเมือง
นายวิทัยกล่าวถึงหลักการทำงานของ ธปท. ที่ให้ความสำคัญอย่างมากในการเป็นอิสระภายใต้กรอบกฎหมายในการตัดสินใจดำเนินนโยบายทางการเงินต่างๆ โดยปราศจากการกดดันทางการเมือง พร้อมกับยินดีร่วมงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น เพื่อที่จะประคับประคองเศรษฐให้กลับคืนสู่จุดสมดุล และมีการเติบโตในระดับที่มุ่งสู่ศักยภาพของประเทศ ซึ่งทั้งนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังต่างๆ จะออกมาในลักษณะที่สอดคล้องกันเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนพันธกิจหลักที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
ทิศทางนโยบายต่อไปของ ธปท.
ทิศทางนโยบายทางการเงินของ ธปท.นั้น นายวิทัยกล่าวว่า จะมีการออกมาตรการเฉพาะจุด เพื่อเสริมการดำเนินนโยบายทางการเงินในภาพกว้าง เสมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ที่ไม่มีมาตรการใดเพียงมาตรการเดียวที่จะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจทั้งหมดได้ จึงต้องมีการอาศัยมาตรการต่างๆ เข้าช่วยเหลือคนในสังคมต่อไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาพใหญ่ในที่สุด ซึ่งไม่ว่าจะมีการออกมาตรการเสริมเฉพาะจุดอะไรก็ตาม ธปท.จะต้องทำให้แน่ใจได้ว่ามาตรการดังกล่าวสามารถช่วยเหลือคนในสังคมไทยได้อย่างแท้จริง โดยจะเข้าไปใกล้ชิดกับประชาชนและสังคม เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินมาตรการนั้นๆ จะสามารถแก้ปัญหาให้กับสังคมไปพร้อมกับรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้

โดยมาตรการเฉพาะจุดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการนับตั้งแต่วันแรกที่นายวิทัยได้เข้ารับตำแหน่ง คือ มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน ด้วยการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ AMC กลาง เพื่อแก้หนี้เสียของประชาชนที่ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งกระจายอยู่ในธนาคารพาณิชย์ ธนาคารของรัฐ Non-Bank ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคาร และ Non-Bank เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และให้คนที่เสียประวัติเครดิตไปแล้วกลับเข้าสู่ระบบได้อีกครั้งผ่านการปลดหนี้จากในอดีต โดยจะมีการนำเอาบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM เข้ามา และปรับเป็น Social AMC ทำภารกิจช่วยคนด้วยการรับซื้อหนี้เสียที่ต่ำกว่า 100,000 บาท ด้วยเงินทุนจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งมีเงินเหลือจากที่บรรดาธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ได้ร่วมเก็บเงินนำส่ง 0.23% ใส่เป็นกองกลางเพื่อเอามาช่วยคนในโครงการคุณสู้ เราช่วยก่อนหน้านี้ ซึ่งแนวทางของโครงการดังกล่าวยังอยู่ในช่วงของการหารือที่คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนตุลาคม 2568 นี้ และเริ่มดำเนินการได้ช่วงต้นปีหน้า โดยคาดว่าจะช่วยคนได้ถึง 2 ล้านคน
นอกจากนี้ ธปท.จะยังสานต่อแนวทางนโยบายการพัฒนาภาคการเงิน ให้ออกมาเป็นรูปธรรม เช่น มาตรการดึงคนเข้าสู่ระบบสินเชื่อ (Financial Inclusion) ด้วยหลักคิดที่ว่าทำอย่างไรให้กู้ได้ง่ายขึ้น ผ่านโครงการการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อรายย่อย พร้อมกับโครงการ Your Data เพื่อเปิดช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อกับผู้ให้บริการทางการเงินผ่านการเชื่อมโยงในฐานข้อมูลของลูกค้า ที่สามารถประเมินความเสี่ยงของลูกค้าในกลุ่มที่ไม่เคยประเมินได้มาก่อน เช่น พ่อค้าแม่ค้าในตลาดแผงลอย ที่ไม่ได้มีธุรกรรมทางการเงินผ่านบัญชี ตลอดจนการจัดตั้ง Virtual Bank ก็จะยังสานต่อเช่นกัน นอกจากนี้ การให้ความรู้ทางการเงิน หรือ Financial Literacy ทาง ธปท.จะร่วมมือกับหลายหน่วยงานเข้ามาทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อสอนความรู้การเงิน ที่ไม่ใช่เรื่องของการออม แต่ยังรวมถึงสอนเรื่องการใช้เงินอย่างจำเป็น โดยอาจต้องมีมาตรการเข้าเสริม เช่น การดูแลผลิตภัณฑ์ทางการเงินในลักษณะ Buy Now Paylater ที่มีผลต่อพฤติกรรมการช้อปปิ้งทางออนไลน์ต่อสังคมไทยในปัจจุบัน
ข่าวเด่น