เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "แนวโน้มอุตสาหกรรมกุ้ง"


มูลค่าส่งออกกุ้งของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ 713.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 1.8%YOY โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกกุ้งแปรรูปไปยังตลาดหลักทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ที่เติบโตดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการเร่งนำเข้ากุ้งของคู่ค้าฝั่งสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) เต็มรูปแบบจะเริ่มมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ ผู้นำเข้าสหรัฐฯ บางส่วนยังมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานด้วยการหันมาสั่งซื้อกุ้งจากซัพพลายเออร์ไทยมากขึ้น เพื่อทดแทนการนำเข้ากุ้งจากคู่แข่งบางประเทศ เช่น อินเดีย ซึ่งจะโดนเก็บภาษีตอบโต้ในระดับที่สูงกว่าไทยค่อนข้างมาก 


สำหรับทิศทางอุตสาหกรรมกุ้งในช่วงที่เหลือของปีนี้และในระยะต่อไป มีแนวโน้มเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงด้านลบ (Downside risks) มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลกระทบของนโยบายภาษีทรัมป์ที่คาดว่าจะเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4/2025 เป็นต้นไป เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะทำให้ต้นทุนการนำเข้ากุ้งของคู่ค้าสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะยิ่งกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของกุ้งไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอื่นที่โดนเก็บภาษีในระดับใกล้เคียงกันหรือต่ำกว่า เนื่องจากไทยมีต้นทุนการผลิตกุ้งที่สูงกว่าคู่แข่งอื่นในตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นอกจากนี้ ผู้นำเข้ากุ้งฝั่งสหรัฐฯ ยังอาจต้องมีการปรับขึ้นราคาขายเพื่อส่งผ่านภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น (Cost pass-through) บางส่วนไปยังผู้บริโภค ซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อและอุปสงค์ในสินค้ากุ้ง และทำให้คำสั่งซื้อจากไทยชะลอลงได้ในระยะต่อไป ประเด็นความเสี่ยงเหล่านี้ ทำให้ภาพรวมการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมกุ้งในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้าอยู่ในภาวะเปราะบางต่อเนื่อง โดย SCB EIC คาดการณ์ว่าการส่งออกกุ้งในปี 2025 มีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อยที่ -0.4%YOY จากอุปสงค์ในตลาดสหรัฐฯ ที่จะเริ่มแผ่วลงในช่วงปลายปี หลังจากที่มีการเร่งนำเข้ากุ้งไปแล้วค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่สำหรับปี 2026 คาดว่าการส่งออกกุ้งของไทยจะยังหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ที่ -2.6%YOY จากผลกระทบของ Reciprocal tariffs ที่ชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งอุปสงค์จากตลาดส่งออกหลักอย่างจีนและญี่ปุ่นที่คาดว่าจะชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจ

นอกจากประเด็นความเสี่ยงทางการค้าจากกำแพงภาษีแล้ว ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยังต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายด้านอื่น ๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะยิ่งกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากกุ้งเป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหวด้านราคาสูง (Price sensitive) และเป็นสินค้าที่สามารถทดแทนกันได้ รวมทั้งกฎระเบียบการค้าโลกที่มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแรงกดดันด้านการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่การผลิตและตอบโจทย์เทรนด์การเลี้ยงกุ้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับศักยภาพการเติบโตและการแข่งขัน รวมทั้งต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการแข่งขันของสินค้านวัตกรรมทางเลือกใหม่ ๆ (Novel foods) ในตลาดสินค้าอาหารทะเลที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

Industry overview

อุตสาหกรรมกุ้งไทยมีห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม (Value chain) ที่ค่อนข้างครบวงจร เริ่มต้นตั้งแต่การผลิตอาหารกุ้ง การเพาะพันธุ์ลูกกุ้ง การเพาะเลี้ยงกุ้งในฟาร์ม การรวบรวมวัตถุดิบเพื่อป้อนโรงงาน การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์กุ้งประเภทต่าง ๆ เรื่อยไปจนถึงการทำการตลาด การขนส่งและกระจายสินค้าต่อไปยังผู้บริโภคขั้นสุดท้าย โดยเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก (Export-oriented industry) โดยมีสัดส่วนการส่งออกมากถึงราว 90% ของปริมาณผลผลิตกุ้งทั้งหมดในประเทศ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง, กุ้งแปรรูป และกุ้งกระป๋อง ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 51%, 30% และ 19% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมดในปี 2024 ตามลำดับ ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ, จีน และญี่ปุ่น ส่วนที่เหลืออีกราว 10% พึ่งพาอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศ 

รูปที่ 1 : ห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม (Value chain) ของอุตสาหกรรมกุ้งในไทย 

 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์, สมาคมกุ้งไทย, กรมประมง และแหล่งข่าวทั่วไป

จากข้อมูลล่าสุดของศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรม  (Food Intelligence Center : FIC) และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร พบว่าปัจจุบันมีฟาร์มเลี้ยงกุ้งมาตรฐานในไทยจำนวนทั้งสิ้นราว 26,700 ฟาร์ม กระจายตัวอยู่ในแหล่งเพาะเลี้ยงกุ้งสำคัญในพื้นที่ภาคตะวันออก, ภาคกลาง และภาคใต้ โดยจังหวัดที่เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลสำคัญ ได้แก่ ฉะเชิงเทรา, สมุทรปราการ, จันทบุรี, ปราจีนบุรี, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ทั้งนี้ผลผลิตกุ้งเกือบทั้งหมด คือราว 95% เป็นสายพันธุ์กุ้งขาวแวนนาไม (Vannamei shrimp) เนื่องจากเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้งทั่วโลกเพราะเลี้ยงง่ายและโตไว ส่วนอีกราว 5% เป็นสายพันธุ์กุ้งกุลาดำ (Black tiger prawn) ขณะที่ในส่วนของโรงงานแปรรูปนั้น พบว่าปัจจุบันมีโรงงานแปรรูปกุ้งในไทยจำนวนทั้งสิ้น 190 ราย ซึ่งประกอบด้วยโรงงานขนาดกลาง 66 ราย และโรงงานขนาดใหญ่อีก 124 ราย โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณฟาร์มเลี้ยงกุ้งซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิต

ความสามารถในการแข่งขันของสินค้ากุ้งไทยในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ ปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนได้อย่างชัดเจนจากสัดส่วนการนำเข้ากุ้งจากไทยที่ทยอยลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในส่วนของกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและกุ้งแปรรูป สวนทางกับสัดส่วนการนำเข้ากุ้งจากคู่แข่งรายอื่น ๆ ในตลาดสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย, อินเดีย และเอกวาดอร์ ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ศักยภาพการแข่งขันของสินค้ากุ้งไทยที่ถดถอยลงดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัญหาเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรม (Structural issue) โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนการเพาะเลี้ยงกุ้งในไทยที่สูงกว่าคู่แข่งค่อนข้างมาก ทั้งในส่วนของต้นทุนอาหารกุ้ง ซึ่งเป็นต้นทุนหลัก (สัดส่วน 50-60% ของต้นทุนทั้งหมด) ต้นทุนค่าแรงงาน ต้นทุนด้านพลังงาน รวมไปถึงต้นทุนในการควบคุมโรคและมาตรฐานการเลี้ยงกุ้งของไทยที่เข้มงวดกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ในตลาด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ไทยสูญเสียศักยภาพการแข่งขันด้านราคาให้กับคู่แข่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า

รูปที่ 2 : ศักยภาพการแข่งขันของสินค้ากุ้งไทยในสหรัฐฯ ปรับลดลงต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อน Trump 2.0 

 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ (MOC) และ Trade map

“เอกวาดอร์” คือคู่แข่งในตลาดกุ้งที่มีศักยภาพและน่าจับตามองมากที่สุด เนื่องจากมีความได้เปรียบทั้งในเรื่องพื้นที่เพาะเลี้ยงกุ้งที่มีศักยภาพจำนวนมาก อีกทั้ง ยังมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งที่ทันสมัยมาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการผลิตอาหารกุ้งคุณภาพสูงและการเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการเลี้ยงกุ้งของเอกวาดอร์ยังเป็นการเลี้ยงแบบธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของกุ้งพันธุ์พื้นถิ่น ส่งผลให้อุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้งในเอกวาดอร์เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน  อีกทั้ง ยังเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทยในสินค้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งที่ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ อีกด้วย สะท้อนได้จากส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 14% ในปี 2018 มาอยู่ที่ 31% ของปริมาณการนำเข้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งทั้งหมดในปี 2024 

Industry outlook and trend

ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2025 มูลค่าการส่งออกกุ้งของไทยอยู่ที่ 713.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 1.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้หากวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดของแต่ละกลุ่มสินค้าจะพบว่า มูลค่าการส่งออกกุ้งที่ยังขยายตัว ได้รับปัจจัยหนุนหลักจากการส่งออกกุ้งแปรรูปที่เติบโตสูงถึง 20.4%YOY สวนทางกับการส่งออกกุ้งกระป๋องที่หดตัว -26.3%YOY ขณะที่สินค้าส่งออกหลักของกลุ่มอย่างกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 1.0%YOY นอกจากนี้ หากวิเคราะห์ในแง่ของตลาดส่งออกสำคัญรายสินค้าพบว่า การส่งออกกุ้งแปรรูปไปยังตลาดญี่ปุ่นและสหรัฐฯ (สัดส่วนรวมกันมากถึงเกือบ 80% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งแปรรูปทั้งหมด) ขยายตัวดีที่ 28.7%YOY และ 6.6%YOY ตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระหว่างเดือน พ.ค.-ก.ค. 2025 จากอานิสงส์ของ 1) อุปสงค์อาหารพร้อมทานในตลาดญี่ปุ่นที่เติบโตดีต่อเนื่อง ซึ่งช่วยหนุนความต้องการนำเข้ากุ้งแปรรูป 2) ผู้นำเข้าสหรัฐฯ เร่งนำเข้าสินค้า (Frontloading) เพื่อเก็บสต็อก ก่อนที่ภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบจะมีผลบังคับใช้ และ 3) ผู้นำเข้าสหรัฐฯ บางส่วนมีการปรับโครงสร้างคู่ค้า (Supply chain restructuring) โดยหันมาสั่งซื้อกุ้งจากไทยเพิ่มขึ้น ทดแทนการสั่งซื้อกุ้งจากคู่แข่งบางราย เช่น อินเดีย ซึ่งจะโดนเก็บ Reciprocal tariffs ในอัตราที่สูงถึง 50% อย่างไรก็ดี SCB EIC คาดว่าภาพรวมการส่งออกกุ้งในช่วงที่เหลือของปีจะชะลอลงเล็กน้อย หลังจากมีการเร่งนำเข้าไปแล้วค่อนข้างมากในช่วงก่อน Reciprocal tariffs เต็มรูปแบบมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะทำให้การส่งออกกุ้งทั้งปี 2025 กลับมาหดตัวเล็กน้อยที่ราว -0.4%YOY

รูปที่ 3 : โครงสร้างการส่งออกกุ้งของไทย จำแนกตามรายสินค้า และตลาดส่งออกหลัก 
หน่วย : ล้านดอลลาร์สหรัฐ, % ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด, %YOY growth
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ (MOC)
 
สำหรับปี 2026 มูลค่าการส่งออกกุ้งของไทยมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สอดคล้องกับภาพรวมความต้องการบริโภคกุ้งในตลาดโลกที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงด้านลบ (Downside risks) รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในหลายภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามตะวันออกกลาง รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและการค้าโลกที่มีแนวโน้มผันผวนสูงจากผลกระทบของ Trade war 2.0 โดยเฉพาะภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่จะเริ่มส่งผลกระทบต่อการส่งออกชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ภาพรวมอุปสงค์กุ้งในตลาดโลกมีความเสี่ยงสูงขึ้น โดย SCB EIC คาดว่ามูลค่าการส่งออกกุ้งในปี 2026 จะอยู่ที่ราว 1,100.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -2.6%YOY ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4

การบริโภคกุ้งในประเทศคู่ค้าหลักมีแนวโน้มฟื้นตัวล่าช้า SCB EIC คาดการณ์ว่าความต้องการบริโภคกุ้งในสหรัฐฯ จะได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีอากรขาเข้า (Import tariff) ซึ่งแรงกดดันดังกล่าวมีส่วนทำให้ผู้บริโภคสหรัฐฯ มีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่าย และให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของเงิน (Value for money) มากขึ้น รวมทั้งอาจปรับลดการบริโภคอาหารฟุ่มเฟือย (Luxury food) ต่าง ๆ ลง ซึ่งรวมถึงการบริโภคอาหารทะเลอย่างกุ้ง ขณะที่อุปสงค์จากจีนและญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจจากผลพวงของสงครามการค้ารอบใหม่ ดังนั้น ไทยจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าวด้วยการมองหาโอกาสในการขยายหรือกระจายการส่งออกกุ้งไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดตะวันออกกลาง หรือตลาดอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น มาเลเซีย, เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อลดการพึ่งพาตลาดส่งออกหลักดั้งเดิม

ขณะเดียวกัน ศักยภาพการแข่งขันของกุ้งไทยยังมีแนวโน้มปรับลดลงอีกด้วย ทั้งจากปัญหาต้นทุนการผลิตกุ้งที่สูงกว่าคู่แข่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รวมทั้งผลกระทบเพิ่มเติมจาก Reciprocal tariffs ที่สูงกว่าคู่แข่งบางราย และทิศทางเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากสวนทางกับค่าเงินของคู่แข่ง ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ยิ่งกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคาและทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งเพิ่มขึ้น เนื่องจากกุ้งเป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหวด้านราคา (Price sensitive) และสามารถทดแทนกันได้ จึงอาจทำให้คู่ค้าสหรัฐฯ มีการโยกคำสั่งซื้อไปยังคู่แข่งได้ ขณะที่ในส่วนของ Reciprocal tariffs พบว่า เอกวาดอร์เป็นคู่แข่งเพียงรายเดียวที่โดนเก็บ Reciprocal tariffs ต่ำกว่าไทย โดยอยู่ที่ 15% เทียบกับไทยซึ่งโดนเก็บที่ 19% ในขณะที่คู่แข่งรายอื่น ๆ ในตลาดสหรัฐฯ อย่างอินโดนีเซีย, เวียดนาม และอินเดีย โดนเก็บภาษีอยู่ที่ 19%, 20% และ 50%   ตามลำดับ ทำให้เอกวาดอร์มีความได้เปรียบผู้เล่นไทยทั้งในเรื่องศักยภาพการผลิต รวมทั้งต้นทุนและอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่า และมีโอกาสแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกุ้งในสหรัฐฯ เพิ่มเติมไปจากไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มกุ้งดิบ (Raw shrimp) โดยพบว่าปัจจุบัน เอกวาดอร์เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่อันดับ 2 สำหรับสินค้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งในตลาดสหรัฐฯ รองจากอินเดีย อีกทั้ง ยังมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอีกด้วย ซึ่งหากมองไปในระยะข้างหน้า ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า ส่วนแบ่งตลาดกุ้งของเอกวาดอร์จะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต จนอาจก้าวขึ้นมาเป็นซัพพลายเออร์อันดับ 1 ในสหรัฐฯ แทนที่อินเดีย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแต้มต่อเรื่องภาษีที่ต่ำกว่ามาก

Competitive landscape

สำหรับในระยะต่อไป ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมกุ้งจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อเตรียมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานกุ้งโลก การแข่งขันที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น ปัญหาการสะสมโรคจากการเลี้ยงกุ้งในพื้นที่เดิมเป็นระยะเวลานาน ต้นทุนค่าแรงในประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนในการปรับมาตรฐานการเลี้ยงกุ้งและมาตรฐานการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพสอดคล้องกับข้อกำหนดของประเทศคู่ค้า และที่สำคัญที่สุดคือความท้าทายจากการยกระดับอุตสาหกรรมกุ้งไทยสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่การผลิต 

ทั้งนี้ SCB EIC มองว่า ภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาของอุตสาหกรรมกุ้งทั้งระบบ เพื่อปลดล็อกอุปสรรคต่าง ๆ และยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของกุ้งไทยในเวทีโลก ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการผลิตร่วมกับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ทั้งในเรื่องขนาด ปริมาณ และคุณภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานและความต้องการของตลาดปลายทางที่แตกต่างกัน รวมทั้งต้องเน้นให้ความช่วยเหลือในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนด้านพลังงาน อาหารกุ้ง พันธุ์กุ้ง และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ รวมถึงต้นทุนแฝงจากการเกิดโรคสะสมในกุ้ง เช่น การส่งเสริมการผลิตลูกกุ้งคุณภาพสูง การให้บริการด้านสุขภาพสัตว์น้ำ และสร้างเครือข่ายห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์โรคกุ้ง เพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันของกุ้งไทยในตลาดโลกตั้งแต่ต้นทาง พร้อม ๆ ไปกับการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการผลิตและแปรรูปกุ้งที่มีคุณภาพสูงและมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อหลีกหนีการแข่งขันด้านราคาร่วมด้วย

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมกุ้งจะต้องหันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่การผลิตและตอบโจทย์การเลี้ยงกุ้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบ (Sustainable and responsible sourcing) ตัวอย่างเช่น ฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งต้องไม่บุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนหรือปล่อยน้ำเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารกุ้ง เช่น ปลาป่น ต้องได้มาจากการทำประมงที่ถูกกฎหมาย มีการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม เป็นต้น รวมถึงอาจพิจารณานำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยีการผลิตและแปรรูปที่ลดการปล่อยคาร์บอนมาปรับใช้ในฟาร์มเพาะเลี้ยงหรือโรงงานแปรรูปกุ้ง เนื่องจากการลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิตจะช่วยเพิ่มโอกาสของไทยในการเป็น Preferred supplier เพราะจะมีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอน Scope 3 ของคู่ค้าในต่างประเทศ อีกทั้ง ยังเป็นการเพิ่มแต้มต่อให้กับผู้เล่นไทยท่ามกลางกระแสการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนทั่วโลกอีกด้วย

นอกจากนี้ การปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้านวัตกรรมทางเลือกใหม ๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม อาทิ การพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์กุ้งที่มีความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม การเลี้ยงกุ้งหลากหลายสายพันธุ์เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่นต่อภัยคุกคามด้านต่าง ๆ และเพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate resilience) หรือการเลี้ยงสัตว์น้ำแบบผสมผสานเพื่อปรับความสมดุลและฟื้นฟูระบบนิเวศโดยรวม รวมทั้งต้องเตรียมรับมือกับการแข่งขันในตลาดอาหารทะเลที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นจากสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนทางเลือก หรืออาหารทะเลที่ทำจากพืช ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในตลาดโลกมากขึ้น โดยพบว่าปัจจุบันเริ่มมีผลิตภัณฑ์ทดแทนทูน่าและกุ้งที่ทำจากพืช (สาหร่าย) วางจำหน่ายมากขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว

 
โชติกา ชุ่มมี ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิต ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 04 พ.ย. 2568 เวลา : 13:23:36
05-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (4 พ.ย.68) ลบ 10.26 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,298.60 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (4 พ.ย.68) ลบ 8.54 จุดดัชนี 1,300.32 จุด

3. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.40-32.65 บาท/ดอลลาร์

4. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (3 พ.ย.68) บวก 17.5 ดอลลาร์ ตลาดจับตาจ้างงานภาคเอกชนประเมินดอกเบี้ยเฟด

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (3 พ.ย.68) ลบ 226.19 จุด หุ้นเฮลธ์แคร์ร่วงกดดันตลาด-กังวลทิศทางดอกเบี้ยเฟด

6. MTS Gold คาดราคาทองคำ แนวรับที่ 3,980-3,950 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,440-4,460 เหรียญ

7. พยากรณ์อากาศวันนี้ (4 พ.ย.68) ฝนฟ้าคะนองในภาคตะวันออก 70% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคใต้ ฝั่ง ตต. 60% ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 40% ภาคเหนือ 30% ภาคอีสาน 20%

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (4 พ.ย.68) ลบ 2.67 จุด ดัชนี 1,306.19 จุด

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (4 พ.ย. 68) ลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 62,200 บาท

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (4 พ.ย.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์

11. ตลาดหุ้นปิด (3 พ.ย.68) ลบ 0.64 จุด ดัชนี 1,308.86 จุด

12. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (3 พ.ย.68) บวก 3.56 จุด ดัชนี 1,313.06 จุด

13. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงอยู่ในทิศทาง Sideway Down โดยราคาทองคำยังไม่สามารถสร้างฐานและยืนเหนือระดับสำคัญที่ 4,000 เหรียญ

14. กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 32.20-32.70 ติดตามข้อมูลสหรัฐและค่าเงินหยวน

15. พยากรณ์อากาศวันนี้ (3 พ.ย.68) ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่าน ส่งผล "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 70% ภาคเหนือ-ภาคใต้ 60% ภาคอีสาน 40%

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 5, 2025, 9:13 am