เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
วิจัยกรุงศรีวิเคราะห์ "เศรษฐกิจโลกตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอหนุนโอกาสเฟดปรับลดดอกเบี้ยปลายปี ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีสัญญาณฟื้นตัวชัดขึ้น ด้านจีนเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง"


สหรัฐฯ
 
วุฒิสภาบรรลุข้อตกลงยุติ Government Shutdown แต่ตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอหนุนโอกาสลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปี แม้ว่าดัชนี PMI ภาคบริการขยายตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือนที่ 52.4 ในเดือนตุลาคม แต่ภาคการผลิตในเดือนเดียวกันหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 อยู่ที่ 48.7 ขณะที่ยอดการเลิกจ้างงานพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 22 ปี ที่ 153,000 ตำแหน่ง ทำให้ยอดสะสมปีนี้อยู่ที่ 1.1 ล้านคน นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤศจิกายนยังร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ที่ 50.3
 
วุฒิสภาสหรัฐฯ เห็นชอบร่างข้อตกลงเบื้องต้นเพื่อยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางโดยจะมีการจัดสรรงบประมาณให้รัฐบาลกลางสามารถดำเนินงานได้จนถึงสิ้นเดือนมกราคมปี 2569 อย่างไรก็ตาม ร่างข้อตกลงดังกล่าวยังต้องผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรและลงนามโดยประธานาธิบดี จึงจะมีผลบังคับใช้และยุติ Government Shutdown อย่างเป็นทางการ ขณะที่ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุด บ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวที่ชัดเจน เช่น การหดตัวต่อเนื่องของ PMI ภาคการผลิต และยอดการเลิกจ้างงานที่พุ่งสูงสุดในรอบ 22 ปี จากปัจจัยดังกล่าว คาดว่าจะทำให้เฟดพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมวันที่ 9-10 ธันวาคมนี้
 
ญี่ปุ่น
 
คาด BOJ ใกล้ปรับขึ้นดอกเบี้ยหลังเศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัวท่ามกลางเงินเฟ้อที่สูงกว่า 2%  ในเดือนกันยายน การใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 แม้จะโตชะลอลงจากเดือนก่อนที่ 2.3% สู่ระดับ 1.8% YoY ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตหดตัวแรงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ 48.2 ในเดือนตุลาคม สวนทางกับภาคบริการที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ 53.1

แม้ว่าภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องและการบริโภคถูกกดดันจากเงินเฟ้อสูง แต่ภาคบริการเติบโตดีและความเชื่อมั่นภาคธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ส่งเสริมการลงทุน รวมถึงบรรเทาผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้า คาดว่าจะหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช่วงปลายปีนี้จนถึงปีหน้า ขณะที่การส่งออกและการผลิตคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีการค้าของสหรัฐฯ แต่ผลกระทบอาจน้อยกว่าหลายประเทศเนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากญี่ปุ่นอยู่ที่ 15% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศส่วนใหญ่ ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจฟื้นตัวตามคาดท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% วิจัยกรุงศรีประเมินว่า BOJ มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในต้นปี 2569
 
 
จีน 
 
รัฐบาลเร่งเดินหน้าแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันเศรษฐกิจจีน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนตุลาคมยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% YoY นานติดต่อกันกว่า 30 เดือน ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตหดตัวชะลอลงจาก -2.3% ในเดือนกันยายนเป็น -2.1% ในเดือนตุลาคม หดตัวน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ในเดือนตุลาคมหดตัวแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ที่ -41.9% YoY ส่วนการส่งออกหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ -1.1%
 
แม้ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลายลง แต่เศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการ อาทิ ภาวะอุปทานส่วนเกินในภาคการผลิตและภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกัน รวมถึงจำนวนประชากรที่ลดลง ปัจจุบันรัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมากขึ้น ทั้งการบรรเทาปัญหาการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและอุปทานส่วนเกิน การเพิ่มสวัสดิการทางสังคม เช่น เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ไปจนถึงการตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อบริหารจัดการปัญหาหนี้รัฐบาล นอกจากนี้ รัฐบาลยังคงเดินหน้าสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต (New Quality Productive Forces) อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าแม้มาตรการเหล่านี้จะเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ยังต้องอาศัยเวลาและความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายจึงจะเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น

 
เศรษฐกิจไทย
 
อัตราเงินเฟ้อปีนี้มีแนวโน้มติดลบ คาดธปท.ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งสุดท้ายของปี ขณะที่ภาคท่องเที่ยวมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างช้าๆ
 
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนตุลาคมติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 คาดกนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายสู่ 1.25% ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนตุลาคมอยู่ที่ -0.76% YoY ติดลบต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนเมษายน เนื่องจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ค่ากระแสไฟฟ้า และอาหารสดบางชนิด ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่  0.61% ชะลอลงเล็กน้อยจาก 0.65%  ในเดือนกันยายน สำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ -0.09% และ 0.87% ตามลำดับ

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในแดนลบ ปัจจัยหลักจาก (i) ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน (ii) มาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพด้านราคาพลังงาน โดยการปรับลดราคาค่ากระแสไฟฟ้า (Ft) (iii) สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในปีนี้หนุนให้ผลผลิตภาคเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น และ (iv) อุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อนแอแม้ได้ปัจจัยบวกชั่วคราวจากมาตการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ทั้งนี้ คาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2568 อาจกลับมาติดลบอีกครั้งในรอบ 5 ปี ที่ -0.1%

สำหรับมุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบาย วิจัยกรุงศรีคาดว่ามีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.25% ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ในวันที่ 17 ธันวาคม เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและบรรเทาภาระทางการเงินของภาคเอกชน ปัจจัยหนุนหลักจาก (i) แนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ (ii) อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง และอาจต่ำกว่าที่ธปท.คาดที่ 0% ในปี 2568  และ 0.5% ในปี 2569 ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่เงินเฟ้อจะกลับสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% (iii) ภาวะการเงินที่ตึงตัวสะท้อนจากการหดตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง

 
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2568 คาดว่าจะลดลงเป็นปีแรกหลังจากฟื้นตัวจากวิกฤตการระบาดของโควิด-19 ในเดือนตุลาคม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย 2.57 ล้านคน หดตัว -3.9% YoY สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1.19 แสนล้านบาท ลดลง -3.3% นำโดยนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย จีน อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ สำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 26.7 ล้านคน ลดลง -7.2% YoY สร้างรายได้ 1.23 ล้านล้านบาท ลดลง -4.5%

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนตุลาคมปรับตัวดีขึ้นจากเดือนกันยายนที่มีจำนวน 2.24 ล้านคน โดยได้แรงหนุนจากการเดินทางของนักท่องเที่ยวระยะไกลมากขึ้นซึ่งเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังเป็นไปอย่างจำกัดเมื่อเทียบกับระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากตลาดนักท่องเที่ยวหลักอย่างจีนยังฟื้นตัวช้าจากความกังวลด้านความปลอดภัย และการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งปัจจุบันกลายเป็นประเทศในอาเซียนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนสูงสุด โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มีนักท่องเที่ยวจีนกว่า 4 ล้านคน สูงกว่าไทยที่มีเพียง 3.8 ล้านคน ล่าสุดวิจัยกรุงศรีปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้มาสู่ระดับ 33.3 ล้านคน จากเดิมคาด 34 ล้านคน และลดลงจาก 35.5 ล้านคนในปี 2567 ซึ่งจะนับเป็นการลดลงเป็นครั้งแรกหลังจากการฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงหลังโควิด-19 
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 11 พ.ย. 2568 เวลา : 12:48:26
11-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (11 พ.ย.68) ลบ 5.79 จุด ดัชนี 1,300.47 จุด

2. ประกาศ กปน.: 12 พ.ย. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนบางนา-ตราด

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (11 พ.ย.68) ลบ 1.78 จุด ดัชนี 1,304.48 จุด

4. MTS Gold คาดว่าจะมีเป้าหมายการขึ้นถัดไปที่ระดับ 4,240 เหรียญ ก่อนที่จะทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 4,380 เหรียญในลำดับต่อไป ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,070 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,200 เหรียญ

5. ทองเปิดตลาดวันนี้ (11 พ.ย. 68) พุ่งขึ้น 950 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,200 บาท

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (10 พ.ย.68) พุ่ง 381.53 จุด ขานรับความหวังชัตดาวน์ใกล้ยุติ

7. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (10 พ.ย.68) พุ่ง 112.2 ดอลลาร์ คาดเฟดลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. หลังข้อมูลศก.ซบ

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (11 พ.ย.68) บวก 0.34 จุด ดัชนี 1,306.60 จุด

9. พยากรณ์อากาศวันนี้ (11 พ.ย.68) ภาคใต้ ฝนฟ้าคะนอง 40% ภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 20% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน 10%

10. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.20-32.45 บาท/ดอลลาร์

11. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (11 พ.ย.68) ทรงตัว ที่ระดับ 32.35 บาทต่อดอลลาร์

12. ตลาดหุ้นปิด (10 พ.ย.68) บวก 3.35 จุด ดัชนี 1,306.26 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (10 พ.ย.68) บวก 3.12 จุด ดัชนี 1,306.03 จุด

14. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.50บาท/ดอลลาร์

15. MTS Gold คาดราคาทองคำมีโอกาสสูงที่ราคาจะขึ้นไปแตะระดับเป้าหมายที่บริเวณ 4,100 เหรียญได้ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 3,990 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,080 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 11, 2025, 10:33 pm