นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้หารือร่วมกับนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทในปัจจุบันและกำหนดแนวทางรองรับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2568 เงินบาทแข็งค่าขึ้นร้อยละ 9.4 เทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และแข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 4.2 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังนักลงทุนปรับคาดการณ์แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปัจจัยเฉพาะของไทย โดยเฉพาะการขายเงินตราต่างประเทศของกลุ่มบริษัททองคำหลังราคาทองคำปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งการเข้าซื้อตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติในบางจังหวะ



ปัจจุบัน ปริมาณการซื้อขายทองคำในแต่ละวันมีมูลค่ารวมสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนในบางช่วงเวลามีปริมาณการซื้อขายสูงในระดับที่ใกล้เคียงกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และส่งผลให้กลุ่มบริษัททองคำเข้าซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงขึ้นมาก จนบางครั้งเกิดการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สุทธิมากถึงร้อยละ 40-50 ของปริมาณการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สุทธิของทั้งประเทศในช่วงนั้นๆ ซึ่งส่งผลกดดันโดยตรงต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นเร็วนำสกุลภูมิภาค และผันผวนไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมา ธปท. ได้ผลักดันให้การซื้อขายทองคำไปอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบต่อค่าเงินบาท รวมทั้งได้เพิ่มความเข้มงวดในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศของกลุ่มบริษัททองคำ และให้กลุ่มผู้ค้าทองคำรายใหญ่รายงานข้อมูลการทำธุรกรรมซื้อขายทองคำโดยละเอียด อย่างไรก็ดี ผลต่อค่าเงินบาทจากธุรกรรมของบริษัททองคำยังคงสูงต่อเนื่อง



ในการดำเนินการเพื่อลดแรงกดดันค่าเงินบาท ในส่วนของ ธปท. จะพิจารณาแนวทางการกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำ เช่น การกำหนดเพดานวงเงินการซื้อขายทองคำในแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งจะพิจารณาจากปริมาณการซื้อขายทองคำของนักลงทุนรายใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท โดยจะดูแลไม่ให้ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนหรือประชาชนรายย่อยที่ใช้ทองคำเป็นช่องทางในการออม นอกจากนี้ ยังมีมาตรการของกรมสรรพากรที่ให้ผู้ให้บริการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นำส่งข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายทองคำให้แก่กรมสรรพากร และอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการทำธุรกรรมทองคำแท่งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ควบคู่ไปด้วย

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ออก 3 มาตรการในการกำกับดูแลธุรกรรมการซื้อขายทอง ประกอบด้วย 1.ให้กรมสรรพากรพิจารณาแนวทางการกำหนดให้ผู้ให้บริการซื้อขายทองคำในลักษณะการลงทุนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นำส่งข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายทองคำดังกล่าวให้แก่กรมสรรพากรเช่นเดียวกับแพลตฟอร์มสินค้าหรือบริการออนไลน์ที่มีการนำส่งข้อมูลรายรับที่ได้จากผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการผ่านแพลตฟอร์มให้แก่กรมสรรพากรผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้วในปัจจุบัน
2.ให้กรมสรรพากรพิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากกิจการขายทองคำแท่งของร้านทองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และ 3.ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแนวทางการกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำ เช่น การกำหนดเพดานวงเงินการซื้อขายทองคำในแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นต้น
“ในส่วนการพิจารณาเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะนั้น เราต้องปรึกษากฤษฎีกาว่า และ ก.ก.ต.ว่า จะสามารถทำได้ในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่”
ด้าน นายวิทัย กล่าวว่า ในส่วนการกำหนดเพดานวงเงินการซื้อขายทองบนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น เราจะดูที่มูลค่าสูงหรือมากกว่า 100 ล้านบาทต่อวันและดูว่ามีการเก็งกำไรที่ผิดปกติ จะไม่มีผลกระทบต่อประชาชนที่ซื้อทองรูปพรรณหรือทองคำแท่งตามร้านทองปกติ (ร้านตู้แดง) , การซื้อเพื่อการออม หรือการสะสมของรายย่อย รวมถึง ภาคอุตสาหกรรมการผลิต การส่งออก หรือนำเข้าทองคำเพื่อธุรกิจปกติ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะให้ออกประกาศให้อำนาจธปท.ในการกำกับธุรกรรมซื้อขายทองและยังกำหนดให้มีการรายงานข้อมูลมาที่ธปท.คาดว่า จะออกประกาศได้ภายในเดือนมกราคมปีหน้า
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาก.ล.ต. กล่าวว่า ประเด็นที่มีข้อสังเกตว่า การซื้อขาย USDT ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทแข็งค่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากปริมาณธุรกรรมซื้อขาย USDT รวมถึงยอดการแลก USD เป็น THB ของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล คิดเป็นเพียง 1.22% และ 0.17% ของยอด FX inflow ซึ่งมีจำนวน 29.1 ล้านล้านบาท ตามลำดับ จึงไม่มีนัยยะต่อค่าเงิน
ข่าวเด่น