เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "แนวโน้มอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น-บุผนัง"


ในปี 2026 ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศมีแนวโน้มอยู่ที่ 189 ล้านตารางเมตร (-1.5%YOY) หดตัวต่อเนื่องจากปี 2025 ตามการใช้งานในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ยังคงอ่อนแอ ขณะที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลงอยู่ที่ 149 บาท/ตารางเมตร (-1.5%YOY) 

ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีอุปทานหน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมระดับสูง ส่งผลให้การเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2026 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง กระทบต่อความต้องการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งเป็นอุปสงค์หลักของอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น-บุผนัง ให้ปรับตัวลดลงจากปี 2025 นอกจากนี้ ราคากระเบื้องโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 149 บาท/ตารางเมตร (-1.5%YOY) เป็นผลจากต้นทุนราคาพลังงานสำคัญที่ใช้ในกระบวนการผลิตและขนส่งลดลง ท่ามกลางอุปสงค์การใช้งานยังคงอ่อนแอ ทั้งนี้ยังต้องจับตาการจัดโพรโมชันเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายในตลาดกระเบื้อง ที่มีการแข่งขันทั้งระหว่างผู้ผลิตกระเบื้องในประเทศ และกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาต่ำ จะเป็นปัจจัยกดดันด้านราคาเพิ่มเติม 
 
อุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยยังต้องเผชิญแรงกดดันจากกระเบื้องนำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย
 
ในปี 2020-2025 กระเบื้องจากต่างประเทศถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยประมาณปีละ 63 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง +3%CAGR โดยเฉพาะการนำเข้ากระเบื้องจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย ที่มีราคาโดยเฉลี่ยต่ำกว่ากระเบื้องที่ผลิตในไทยกว่า 6-10% ส่งผลให้สัดส่วนกระเบื้องนำเข้าในตลาดจำหน่ายกระเบื้องในไทยเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 2020 เป็น 34% ในปี 2025 และคาดว่าจะยังคงมีการนำเข้ากระเบื้องจากต่างประเทศเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่องในปี 2026 หลังจากที่ผู้ผลิตและส่งออกกระเบื้องในหลายประเทศได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ รวมถึงยังต้องจับตาการนำเข้ากระเบื้องจากอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากไทยทำให้มีความสะดวกด้านการขนส่ง อีกทั้ง ราคาสินค้าต่างจากจีนและเวียดนามไม่มาก
 
การพัฒนากระเบื้องที่มีคุณสมบัติพิเศษ และกลุ่มพรีเมียม จะช่วยหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา และรักษาอัตรากำไร
 
การพัฒนากระเบื้องที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น กระเบื้องกันเชื้อแบคทีเรีย ทนรอยขีดข่วนสำหรับสัตว์เลี้ยง กระเบื้อง Anti-slip สำหรับผู้สูงอายุ กระเบื้องที่มีลวดลายและให้ผิวสัมผัสเสมือนวัสดุจริง อย่างลายไม้ หินอ่อน และแกรนิต เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ผลิตไทยสร้างความแตกต่าง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระเบื้องนำเข้าราคาถูก โดยกระเบื้องเกรดพรีเมียมเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค และยังคงใช้สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง-สูงขึ้นไป ซึ่งเน้นคุณภาพ การออกแบบ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ส่งผลให้ผู้ผลิตกระเบื้องสามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา และมีอัตรากำไรสูงกว่าตลาดกระเบื้องทั่วไป อีกทั้ง ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์และตำแหน่งการแข่งขันที่ชัดเจนให้กับแบรนด์ รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตกระเบื้องสามารถขยายสู่ตลาดต่างประเทศที่ต้องการสินค้ากลุ่มพรีเมียม นอกจากนี้ การปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ก็ยังช่วยให้ผู้ผลิตกระเบื้องมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นจากต้นทุนด้านพลังงานที่ลดลงด้วยเช่นกัน
 
Industry overview
 
ไทยมีการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังโดยเฉลี่ยในช่วงปี 2020-2025 ประมาณ 120 ล้านตารางเมตร/ปี จากกำลังการผลิตรวมทั้งหมดประมาณ 200 ล้านตารางเมตร/ปี โดยสัดส่วนกว่า 95% ของปริมาณการผลิตเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งมีความต้องการจากผู้ใช้งานกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการก่อสร้างของภาคเอกชน ทั้งโครงการเชิงพาณิชย์ และโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นอุปสงค์หลักของการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศ, กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการก่อสร้างอาคารของภาครัฐ, รวมถึงยังมีการใช้กระเบื้องปูพื้น-บุผนังในการปรับปรุงซ่อมแซมพื้นที่เชิงพาณิชย์ และที่อยู่อาศัยของภาคครัวเรือน ขณะที่สัดส่วนอีกราว 5% เป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยตลาดที่สำคัญ ได้แก่ เมียนมา, ลาว และกัมพูชา ซึ่งมีปริมาณการส่งออกจากไทยไปมากที่สุด 3 อันดับแรก
 
ทั้งนี้โครงสร้างต้นทุนการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังส่วนใหญ่ราวครึ่งหนึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ ดิน, หินบด, แร่, สี และสารเคมีองค์ประกอบ ที่มาจากการจัดซื้อจากทั้งในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ สัดส่วนราว 15% เป็นต้นทุนพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความผันผวนตามราคาน้ำมันดิบโลก สำหรับต้นทุนแรงงานคิดเป็นสัดส่วนราว 13% และสัดส่วนที่เหลืออีกราว 23% เป็นต้นทุนอื่น ๆ อาทิ ค่าบำรุงรักษาเครื่องจักร และค่าบริการที่เกี่ยวข้อง  
 
อุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังประกอบด้วยกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้งหมด 3 ราย ได้แก่ บริษัท บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) (SCGD), บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) (DCC) และบริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (UMI) ซึ่งมีการแข่งขันกันในด้านการผลิต และการพัฒนาสินค้าตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความหลากหลาย อาทิ กระเบื้องเกรดพรีเมียม (Premium product) กระเบื้องพอซ์เลน (Porcelain) กระเบื้องเกรดปานกลาง (Mid segment) และกระเบื้องกลุ่มแมส (Mass products) ผ่านช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุม ได้แก่ ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย (Dealer), ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern trade), เครือข่ายร้านค้าที่เป็นสาขาของบริษัท และการจำหน่ายโดยตรงไปยังผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งผู้รับเหมาโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างขนาดเล็กทั่วประเทศ

รูปที่ 1 : ห่วงโซ่อุปทานการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนัง และบริษัทผู้ผลิตที่สำคัญในอุตสาหกรรม
 
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

Industry outlook and trend
 
ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศปี 2026 มีแนวโน้มหดตัว 1.5%YOY โดยเป็นการหดตัวต่อเนื่องจากปี 2025 ตามการหดตัวของการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งเป็นอุปสงค์ที่สำคัญของการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศ โดยตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีอุปทานหน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมในระดับสูง ส่งผลให้การเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2026 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ SCB EIC คาดว่า ความต้องการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ 189 ล้านตารางเมตร (-1.5%YOY) ทั้งนี้ปัจจัยที่ช่วยพยุงปริมาณการใช้งานกระเบื้องไม่ให้หดตัวรุนแรงในปี 2026 จะเป็นการใช้งานในการปรับปรุงพื้นที่อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ อาทิ โรงแรม, ศูนย์การค้า, พื้นที่ค้าปลีก และโครงการ Mixed-use ขณะที่อุปสงค์ในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยของภาคครัวเรือนยังมีแนวโน้มการใช้งานจำกัด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำกระทบการฟื้นตัวของรายได้ภาคครัวเรือน ประกอบกับภาระค่าใช้จ่าย และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาคครัวเรือนยังคงมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย
 
สำหรับราคากระเบื้องปูพื้น-บุผนังโดยเฉลี่ยในปี 2026 คาดว่าจะอยู่ที่ 149 บาท/ตารางเมตร (-1.5%YOY) โดยลดลงตามต้นทุนพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิต และการขนส่ง ทั้งค่าไฟฟ้า ราคาก๊าซธรรมชาติ และราคาน้ำมัน ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาวัตถุดิบในการผลิต อาทิ แร่เฟลสปาร์ สารเคมีเคลือบผิวอื่น ๆ มีแนวโน้มทรงตัว ประกอบกับอุปสงค์การใช้งานกระเบื้องยังคงอ่อนแอตามตลาดที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ยังไม่มีปัจจัยหนุนด้านราคา ทั้งนี้ยังต้องจับตาการจัดโพรโมชันเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายในตลาดกระเบื้อง ที่มีการแข่งขันทั้งระหว่างผู้ผลิตกระเบื้องในประเทศ และกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาค่อนข้างต่ำ จะเป็นปัจจัยกดดันด้านราคาเพิ่มเติม

รูปที่ 2 : ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องในประเทศ
หน่วย : ล้านตารางเมตร 

 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ สศอ.
 
รูปที่ 3 : มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชน
หน่วย : แสนล้านบาท
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Gross Fixed Capital Formation (GFCF) ในบัญชี
ประชาชาติ ในส่วนของการก่อสร้างโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
 
อุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทย ยังคงมีปัจจัยกดดันจากการเข้ามาตีตลาดของกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศ กระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศถูกนำเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2020-2025 เฉลี่ยปีละประมาณ 63 ล้านตารางเมตร (+3%CAGR) โดยในปี 2025 สัดส่วนการจำหน่ายกระเบื้องในไทยเป็นกระเบื้องที่มาจากการนำเข้ากว่า 34% เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2020 ที่มีสัดส่วนการจำหน่ายกระเบื้องนำเข้าอยู่ประมาณ 26% 
 
ทั้งนี้การนำเข้ากระเบื้องส่วนใหญ่กว่า 90% ของการนำเข้ากระเบื้องทั้งหมดของไทยมาจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งมีราคาโดยเฉลี่ยต่ำกว่าราคากระเบื้องที่ผลิตในไทยประมาณ 6-10% จากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า และส่วนใหญ่เป็นกระเบื้องกลุ่มแมส (Mass product) ที่สามารถทดแทนการใช้งานกระเบื้องที่ผลิตในไทยได้ โดยการนำเข้ากระเบื้องจากทั้งสามประเทศดังกล่าวในช่วงปี 2020-2025 เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 60 ล้านตารางเมตร รวมถึงในปี 2026 คาดว่าจะยังคงถูกนำเข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบมาจากสงครามการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มีการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการระบายสินค้ามายังไทยมากขึ้น เนื่องจากทั้งจีน, เวียดนาม และอินเดีย ต่างเป็นผู้ส่งออกกระเบื้องปูพื้น-บุผนังรายสำคัญไปยังสหรัฐอเมริกา 
 
นอกจากนี้ SCB EIC มองว่า ยังต้องจับตาการนำเข้ากระเบื้องจากอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากไทยทำให้มีความสะดวกด้านการขนส่ง อีกทั้ง ราคาสินค้าต่างจากจีน และเวียดนามไม่มาก ส่งผลให้อินเดียมีแนวโน้มระบายสินค้ากระเบื้องปูพื้น-บุผนังมายังไทยมากขึ้นด้วยเช่นกัน จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญให้ผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยต้องปรับกลยุทธ์ในการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการวางแผนการตลาดเพื่อแข่งขันกับกระเบื้องนำเข้าดังกล่าว

รูปที่ 4 : ราคาเฉลี่ยกระเบื้องปูพื้น-บุผนัง หน่วย : บาท/ตารางเมตร 
 
 
 
หมายเหตุ : *คำนวณจากราคาเฉลี่ยกระเบื้องนำเข้าจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ สศอ. และกระทรวงพาณิชย์
 
รูปที่ 5 : การผลิตกระเบื้องในประเทศ และปริมาณการนำเข้ากระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทย 
หน่วย : Index (2021=100,sa)
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ สศอ. และกระทรวงพาณิชย์
 
Competitive landscape
 
การพัฒนาผลิตภัณฑ์กระเบื้องที่มีคุณสมบัติพิเศษ และกระเบื้องกลุ่มพรีเมียม รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จะช่วยเสริมศักยภาพและความได้เปรียบในการแข่งขันแก่ผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทย และประคองธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันของกระเบื้องนำเข้า การแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดกระเบื้องกลุ่มแมสในปัจจุบัน ทั้งการแข่งขันกันระหว่างผู้ผลิตในประเทศ และการแข่งขันกับกระเบื้องราคาถูกจากต่างประเทศที่กำลังทะลักเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ประกอบกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เทรนด์การเลี้ยงสัตว์ที่ทำให้เกิดความต้องการใช้งานกระเบื้องที่ทนต่อการขีดข่วน เช็ดทำความสะอาดง่าย และไม่สะสมเชื้อโรค เทรนด์การให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและความปลอดภัยมากขึ้น ที่ทำให้เกิดความต้องการใช้งานกระเบื้องป้องกันเชื้อแบคทีเรีย และกระเบื้อง Anti-slip สำหรับผู้สูงอายุ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
 
นอกจากนี้ การพัฒนากระเบื้องเกรดพรีเมียม จะเพิ่มโอกาสในการเจาะตลาดการก่อสร้างโครงการเชิงพาณิชย์ระดับบนขึ้นไป ทั้งโรงแรมห้าดาว อาคารสำนักงานเกรด A และ A+ และศูนย์การค้าชั้นนำ รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง-สูง ขึ้นไปถึง Luxury ทั้งบ้านแนวราบ และคอนโดมิเนียม ซึ่งโครงการเหล่านี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความโดดเด่นของวัสดุก่อสร้าง รวมถึงมีมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยต่อโครงการค่อนข้างสูง ซึ่งจะหนุนให้ผู้ผลิตสามารถเพิ่มยอดขายได้โดยไม่ต้องแข่งขันด้านราคากับตลาดกระเบื้องกลุ่มแมส และสามารถรักษาอัตรากำไรไว้ได้
 
นอกจากนี้ กลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงมักให้ความสำคัญกับคุณภาพ การออกแบบ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ จะเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตที่มีผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียม มีโอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ หรือกำหนดตำแหน่งการแข่งขันที่ชัดเจน รวมถึงสามารถขยายไปยังตลาดต่างประเทศที่ต้องการสินค้ากลุ่มดังกล่าว โดยกระเบื้องเกรดพรีเมียม อาทิ กระเบื้องลายหินอ่อนเกรดพรีเมียม (Marble-look Porcelain), กระเบื้องที่มีลวดลายและให้ผิวสัมผัสเสมือนวัสดุจริง อย่างลายไม้ และแกรนิต, กระเบื้องขนาดใหญ่พิเศษ (Large-format Tiles), กระเบื้องผิวด้านลายไม้ (Matte Wood-look Tiles), กระเบื้อง 3D ผนังตกแต่ง (3D Decorative Wall Tiles), กระเบื้องกันเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial Tiles) เช็ดทำความสะอาดง่าย และทนต่อรอยขีดข่วนของสัตว์เลี้ยง รวมถึงกระเบื้องบางพิเศษ (Thin & Lightweight Tiles) จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตได้ในตลาดที่มีกำลังซื้อสูง
 
ทั้งนี้การตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยเพื่อให้บรรลุกรอบเป้าหมายความเป็นกลางคาร์บอน ทำให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้นในกระบวนการผลิต เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ใช้พลังงานชีวมวล และพลังงานความร้อนทิ้ง (Waste heat recovery) เพื่อนำไอร้อนจากเตาเผากลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการผลิต ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานของผู้ประกอบการลดลง ประกอบกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการทำการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์กระเบื้องคุณสมบัติพิเศษ และกระเบื้องพรีเมียม ที่มีราคาขายและอัตรากำไรสูง จึงทำให้ผู้ผลิตสามารถรักษาอัตรากำไรได้ สะท้อนจากอัตราส่วน EBITDA margin ของผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ซึ่งอยู่ที่ 17.9% ใกล้เคียงกับอัตราส่วน EBITDA margin 17.6% ในช่วงปี 2024
 
ภาคผนวก

ภาคผนวก 1 : ภาพรวมผลประกอบการบริษัทผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังที่จดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย
 
 
หมายเหตุ : *คำนวณเฉพาะรายได้จากการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนัง ของบริษัทที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเอกสารเผยแพร่ของผู้ประกอบการ
 
ภาคผนวก 2 : ส่วนแบ่งตลาดของผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศปี 2024
 
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เอกสารเผยแพร่ของผู้ประกอบการ และ BOL-Enlite


 
วรรณโกมล สุภาชาติ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
 

บันทึกโดย : วันที่ : 25 ธ.ค. 2568 เวลา : 14:50:51
26-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 27 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำมีนบุรี

2. ตลาดหุ้นปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 5.52 จุด ดัชนี 1,259.25 จุด

3. ตลาดหุ้นไทยปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 5.28 จุดดัชนี 1,259.49 จุด

4. MTS Gold คาดราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,480-4,450 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,540-4,560เหรียญ

5. ทองเปิดตลาดวันนี้ (26 ธ.ค. 68) พุ่งขึ้น 250 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 66,900 บาท

6. พยากรณ์อากาศวันนี้ (26 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบน อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา/ภาคใต้ ฝนตกหนัก 40-60% คลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร เรือเล็กงดออกจากฝั่ง จนถึง 28 ธ.ค.

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 ธ.ค.68) ทรงตัว ที่ระดับ 31.07 บาทต่อดอลลาร์

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 0.06 จุด ดัชนี 1,264.71 จุด

9. ตลาดหุ้นปิด (25 ธ.ค.68) ลบ 10.56 จุด ดัชนี 1,264.77 จุด

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 ธ.ค.68) ลบ 8.74 จุด ดัชนี 1,266.59 จุด

11. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,450-4,430 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,500-4,525 เหรียญ

12. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.68) ทำนิวไฮ บวก 288.75 จุด ขานรับ "ซานต้าแรลลี่"

13. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.68) ลบ 2.90 ดอลลาร์ นักลงทุนขายทำกำไรหลังราคาพุ่งทำนิวไฮ

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (25 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบน อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา /ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและตกหนักบางแห่ง

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (25 ธ.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 26, 2025, 11:07 pm