เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ "ความเสี่ยงการคลังไทย ถอดบทเรียนจากต่างประเทศ และนัยต่อประเทศไทย"


 
ฐานะการคลังของไทยอ่อนแอกว่าประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (BBB+ หรือ Baa1) โดยเฉพาะหนี้สาธารณะที่เพิ่มเร็วและการขาดดุลที่สูงต่อเนื่อง หากเศรษฐกิจไทย (Nominal GDP) เติบโตเพียง 3% ต่อปี การขาดดุลอาจยังเกิน -4% ของ GDP และหนี้สาธารณะอาจแตะเพดาน 70% ภายในปี 2570 สถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงที่ไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะข้างหน้า

แผนการคลังระยะปานกลางปี 2570–2573 ของไทย ตั้งเป้าลดการขาดดุลลงสู่ 3% ของ GDP ภายในปี 2572 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับสมมติฐานการเติบโตของ GDP ที่อาจสูงกว่าความเป็นจริง ตลอดจนความต่อเนื่องของการลดการขาดดุลการคลัง

บทเรียนจากต่างประเทศชี้ว่า อิตาลีสามารถหลีกเลี่ยงการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือได้โดยการดำเนินมาตรการลดขาดดุลอย่างจริงจัง ทั้ง การเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐ ซึ่งไทยสามารถใช้เป็นแนวทางลดการขาดดุลการคลังได้ แต่จำเป็นต้องพิจารณาขอบเขตการดำเนินการที่กว้างขึ้น เช่น การขยายฐานภาษี การให้แผนการคลังมีผลผูกพันทางกฎหมาย กลไกตรวจสอบงบประมาณที่เข้มแข็ง และการปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมรายจ่ายภาครัฐในระยะยาว

หากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือก็ยังไม่ถือว่าเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางการคลังในระยะสั้น เนื่องจากอันดับความน่าเชื่อถือในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่น่าลงทุน (Investment Grade) และสูงกว่าระดับที่ต่ำกว่าการลงทุน (Non-investment Grade) อยู่ 2 ระดับ แต่จะส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืม รวมถึงการดึงดูดการลงทุน

สัญญาณเตือนจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 

ก่อนช่วงโควิด-19 ไทยมีระดับหนี้สาธารณะอยู่ที่ 6.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 41.2% ของ GDP แต่สถานการณ์โควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้หนี้สาธารณะไทยเร่งตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ 10 ล้านล้านบาท จนเกินระดับเพดานที่กำหนดไว้เดิมที่ 60% ของ GDP 

ในปี 2564 รัฐบาลจึงต้องขยายเพดานเป็น 70% ของ GDP อย่างไรก็ดี ระดับหนี้สาธารณะไทยปัจจุบัน ณ เดือนต.ค. 2568 อยู่ที่ 65.2% ของ GDP ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่ 69.0% ของ GDP แต่แนวโน้มหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในจุดที่น่ากังวลมากกว่า เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำ

 ในปี 2568 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ทั้ง Moody’s และ Fitch Rating ปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของไทย (Outlook) จากระดับ “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” ในเดือนเม.ย. และ เดือนก.ย. 2568 ตามลำดับ โดยข้อกังวลสำคัญในการปรับลดมุมมองของทั้งสองสถาบันมาจากภาพการคลังที่อ่อนแอลง ขณะที่แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง ส่งผลให้ไทยมีความเสี่ยงถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะข้างหน้า

แผนการคลังระยะปานกลางช่วยลดแรงกดดันจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ แต่ภาพรวมฐานะการคลังไทยก็ยังอยู่ในจุดที่เปราะบาง

หลังจากที่ไทยถูกทั้ง Moody’s และ Fitch ปรับลด Outlook จากระดับ ‘คงที่’ สู่ ‘เชิงลบ” สร้างความกังวลว่าไทยมีความเสี่ยงอาจถูกทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี นโยบายของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมามีส่วนช่วยให้ในเดือนพ.ย. 2568 ไทยสามารถหลีกเลี่ยงการถูกปรับลด Outlook สู่ระดับ ‘เชิงลบ’ จาก S&P โดย S&P ให้เหตุผลว่าไทยจะยังคงรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับใกล้เคียงกับประเทศที่มีระดับการพัฒนาเดียวกันได้ในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้า และการประคับประคองเศรษฐกิจจากนโยบายการคลังของรัฐบาล นอกจากนี้ รัฐบาลได้แสดงความตั้งใจที่จะรักษาวินัยทางการคลังเพื่อรองรับความเสี่ยงด้านการคลังมากขึ้น ดังนี้

1) การอนุมัติงบกลาง 35,000 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้จากการที่รัฐบาลมอบหมายให้หน่วยงานรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายไปก่อนตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ โดยเฉพาะชำหนี้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

2) การทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework: MTFF) โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะลดการขาดดุลงบประมาณ และไม่ขยายเพดานหนี้สาธารณะเกิน 70% ของ GDP

ฐานะการคลังไทยยังอยู่ในจุดเปราะบาง

แผนการคลังระยะปานกลางปี 2570-2573 ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2568 แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะลดการขาดดุลงบประมาณให้ต่ำกว่า 3.0% ต่อ GDP ในปี 2572 แต่ความเสี่ยงที่ไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะข้างหน้ายังคงมีอยู่ ด้วยเหตุผลดังนี้

1. แผนลดการขาดดุลงบประมาณในระยะ 5 ปีข้างหน้า อยู่บนสมมติฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Nominal GDP) เฉลี่ยที่ 4.0% ขณะที่เศรษฐกิจไทยในช่วงหลังโควิด-19 (ปี 2566-2568) เติบโตเฉลี่ย 2.9% (รูปที่ 1) และเศรษฐกิจไทยในระยะ 5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย (Nominal GDP) ที่ราว 3% ชะลอลงจากปัญหาเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลให้

· การขาดดุลงบประมาณคาดว่า จะยังสูงกว่า 3.0% ของ GDP ในปี 2572 โดยในปีงบประมาณ 2568 ขาดดุลจริงอยู่ที่ 4.8% (รูปที่ 2)

· หนี้สาธารณะแตะเพดานที่ 70% ของ GDP ในปี 2570 โดยในเดือนต.ค. 2568 มีสัดส่วนที่ 65.2% (รูปที่ 3)

รูปที่ 1 Nominal GDP ไทยเติบโตต่ำกว่า 4% ในช่วงหลังโควิด-19 
 
 
รูปที่ 2 หากเศรษฐกิจโตต่ำจะส่งผลให้การขาดดุลการคลังจะยังไม่ลดลงสู่ระดับ 3% ในปี 2572
รูปที่ 3 หนี้สาธารณะคาดแตะระดับ 70% ของ GDP ในปี 2570

 
 
2. ตัวชี้วัดในกรอบวินัยการคลัง (Fiscal rules) เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะบางตัวเข้าใกล้กรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้มากขึ้น ทั้งนี้ แม้กรอบฯ ดังกล่าวจะไม่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่หากเกินกรอบฯ ต้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรี ส่งผลให้การใช้นโยบายการคลังในอนาคตมีข้อจำกัดมากขึ้น อีกทั้งเป็นจุดจับตาของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยกรอบฯ ดังกล่าวสะท้อนความเปราะบางด้านวินัยทางการคลังของไทย (รูปที่ 4) ได้แก่

· สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อรายได้ ถูกกำหนดเพดานไว้ที่ 50% หลังจากปรับเพิ่มจาก 30% ในเดือนก.ย. 2568 โดยข้อมูลล่าสุด ณ เดือนก.ย. 2568 อยู่ที่ 37.1% สะท้อนว่าภาระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยขยายตัวเร็วกว่ารายได้รัฐ หรือโครงสร้างรายได้เติบโตไม่ทันรายจ่าย ส่งผลให้พื้นที่การคลังของไทยลดลง ทั้งนี้ หากสัดส่วนดังกล่าวเกิน 60% จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อวิกฤตการคลังเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในกรีซและอาร์เจนตินา

· สัดส่วนยอดหนี้คงค้างรวมจากกิจกรรมกึ่งการคลังต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เกิดจากการรับภาระตามนโยบายรัฐ ตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่ตั้งเพดานไว้ที่ 32% ทั้งนี้ หนี้กึ่งการคลังจะไม่ถูกนับเป็นหนี้สาธารณะทันที แต่หากโครงการขาดทุน หนี้จึงจะถูกดึงกลับเข้ามาเป็นภาระงบประมาณของรัฐโดยตรง จึงเป็นความเสี่ยงทางการคลังที่สำคัญ ทั้งนี้ ในงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ประมาณการภาระผูกพันอยู่ที่ 1,133,751 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30.2% ของงบประมาณรวม ซึ่งเป็นระดับที่เข้าใกล้เพดานที่ 32%

รูปที่ 4 Fiscal rules บางตัวเริ่มเข้าใกล้กรอบที่ตั้งไว้เพื่อรักษาวินัยทางการเงินการคลัง

 
3. ภาระงบประมาณจากสังคมสูงวัยเร่งตัว โดยในปี 2572 ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ (Super-aged society) หรือ 20% ของประชากรไทยมีอายุมากกว่า 65 ปี ซึ่งหมายถึงภาระทางการคลังที่จะเพิ่มขึ้นจากทั้งรายจ่ายงบประมาณด้านบำนาญ การออม งบประมาณรายจ่ายด้านสาธารณะสุข เช่น บัตรทอง สวัสดิการข้าราชการ รวมถึงสวัสดิการผู้สูงอายุ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินงบประมาณรายจ่ายของรัฐที่เกี่ยวเนื่องกับสังคมสูงวัยจะเพิ่มจาก 24.7% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในปี 2568 ไปเป็น 28.5% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในปี 2572 (รูปที่ 5)

รูปที่ 5 ภาระทางการคลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากสังคมผู้สูงอายุ

 
 
ถอดบทเรียนจากอิตาลีและฝรั่งเศส – การทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือ กับการปฏิรูปการคลัง

อิตาลี

อิตาลีถือเป็นตัวอย่างของประเทศที่เคยเผชิญการถูกปรับลดมุมมองและอันดับความน่าเชื่อถือจากปัญหาด้านการคลัง แต่สามารถฟื้นฟูฐานะการคลังได้อย่างเป็นรูปธรรม จนส่งผลให้ไม่เพียงแต่หลีกเลี่ยงการถูกปรับลดอันดับ แต่ยังสามารถปรับขึ้นอันดับความน่าเชื่อถือโดยในปี 2563 จากวิกฤตโควิด-19 อิตาลีใช้นโยบายการคลังฉุกเฉินขนาดใหญ่ ส่งผลให้การขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นเป็น 9.4% ของ GDP และหนี้สาธารณะสูงเกิน 150% ของ GDP ก่อนจะถูกปรับลดอันดับและมุมมองความน่าเชื่อถือในช่วงปี 2563–2565 ท่ามกลางผลกระทบจากสงครามรัสเซีย–ยูเครน

ในช่วงปี 2567–2568 เศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมืองของอิตาลีปรับดีขึ้นควบคู่กับการดำเนินนโยบายการคลังแบบหดตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้การขาดดุลลดลงต่ำกว่า 4% ของ GDP และหนี้สาธารณะลดลงต่ำกว่า 140% ของ GDP ส่งผลให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับอันดับความน่าเชื่อถืออิตาลีขึ้น โดย S&P และ Fitch ปรับเป็น BBB+ และ Moody’s ปรับจาก Baa3 เป็น Baa2 ในเดือนพ.ย. 2568 สะท้อนความก้าวหน้าในการลดการขาดดุลและการรักษาวินัยการคลัง (รูปที่ 6)

รูปที่ 6 อิตาลีถูกปรับลด Outlook แต่ไม่โดนปรับลด Rating

 
 
อิตาลีประสบความสำเร็จในการลดการขาดดุลการคลัง เป็นผลมาจากการผสมผสานของนโยบายเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และที่สำคัญที่สุด คือ วินัยการคลัง เพิ่มความโปร่งใส และมีนโยบายที่ชัดเจน กลไกติดตามตรวจสอบที่มีความน่าเชื่อถือ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ด้านรายได้ ภาครัฐเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 46.8% เป็น 47.1% ของ GDP ผ่านการปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัลและสิ่งแวดล้อม การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บด้วยระบบดิจิทัล และการขยายฐานภาษีโดยดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ

ด้านรายจ่าย ลดสัดส่วนรายจ่ายจาก 54.9% เหลือ 50.4% ของ GDP โดยยุติมาตรการชั่วคราวหลัง โควิด-19 ยกระดับประสิทธิภาพงบประมาณผ่าน Spending Review และปรับสวัสดิการให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

อย่างไรก็ดี มาตรการรายได้และรายจ่ายจะไม่ยั่งยืนหากขาดกรอบวินัยทางการคลังที่เข้มแข็ง รัฐบาลอิตาลีจึงให้ความสำคัญสูงสุดกับการทำ fiscal consolidation ผ่านกลไกเชิงสถาบัน ได้แก่ การใช้ Multi-Year Medium-Term Budgetary Framework (MTBF) เพื่อควบคุมการใช้จ่ายในกรอบระยะกลาง การเสริมความโปร่งใสผ่านหน่วยงานอิสระอย่าง UPB ที่ทำหน้าที่ประเมินและตรวจสอบนโยบายการคลัง และการลดความซ้ำซ้อนของภาครัฐด้วยการควบรวมหน่วยงาน การจัดซื้อรวมศูนย์ และ e-Government

ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสถือเป็นกรณีที่แตกต่างจากอิตาลีในด้านการจัดการการคลัง (รูปที่ 7) โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 รัฐบาลฝรั่งเศสออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ส่งผลให้การขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นจาก 2.4% เป็น 8.9% ของ GDP และหนี้สาธารณะเพิ่มจาก 98% เป็น 115% ของ GDP แม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวบางส่วนหลังโควิด-19 แต่ฝรั่งเศสยังเผชิญการขาดดุลการคลังในระดับสูงและต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะยังสูงกว่า 5% ของ GDP ในช่วงปี 2567–2568 ขณะที่หนี้สาธารณะยังคงเกิน 115% ของ GDP ในปี 2568 ส่งผลให้ ในปี 2568 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดย S&P และ Fitch ปรับลดจาก AA- เป็น A+ ขณะที่ Moody’s ปรับลดแนวโน้มเป็นเชิงลบ สะท้อนความกังวลต่อระดับหนี้ที่ยังเพิ่มขึ้น การขาดแนวทางการปรับสมดุลการคลังที่ชัดเจน และความแตกแยกทางการเมืองซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการลดการขาดดุลลงสู่เป้าหมาย 3% ของ GDP ภายในปี 2572 ตามแผนเดิมของรัฐบาล (รูปที่ 8)

รูปที่ 7 อิตาลีสามารถลดการขาดดุลการคลังได้ ขณะที่ฝรั่งเศสทรงตัวในระดับสูง

 
 
รูปที่ 8 ฝรั่งเศสถูกปรับลด Outlook และตามมาด้วยการปรับลด Rating

 
 
ความท้าทายด้านการคลังของฝรั่งเศสสะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่ทำให้การปรับปรุงฐานะการคลังเป็นไปได้ยาก

ด้านรายได้ มาตรการเพิ่มรายได้ยังไม่เห็นผลชัดเจน โดยการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 33% เหลือ 25% ในปี 2565 แม้จะช่วยจูงใจการลงทุน แต่ในระยะสั้นกลับทำให้รายได้ภาษีหดตัว และยังไม่สามารถสร้างฐานรายได้ใหม่มาชดเชยได้ ขณะที่การปรับขึ้นภาษีทรัพย์สินและภาษีความมั่งคั่งทำได้อย่างจำกัดจากความอ่อนไหวทางการเมือง

ด้านรายจ่าย ภาครัฐมีขนาดใหญ่และตัดลดยาก โดยในปี 2567 รายจ่ายภาครัฐอยู่ที่ 57.1% ของ GDP สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในยูโรโซนอย่างมีนัยสำคัญ รายจ่ายสวัสดิการสังคม โดยเฉพาะบำนาญและสาธารณสุข เป็นรายจ่ายเชิงโครงสร้างที่ปรับลดได้ยาก อีกทั้งรัฐบาลยังคงใช้มาตรการพยุงค่าครองชีพ เช่น การตรึงราคาพลังงานและการลดภาษีพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้การควบคุมรายจ่ายมีข้อจำกัด

ขณะเดียวกัน ความล่าช้าในการปฏิรูประบบบำนาญยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อฐานะการคลัง โดยค่าใช้จ่ายบำนาญอยู่ในระดับสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศในสหภาพยุโรป แม้รัฐบาลพยายามปฏิรูปด้วยการขยายอายุเกษียณและเพิ่มระยะเวลาการส่งเงินสมทบ แต่การต่อต้านจากสหภาพแรงงานและประชาชนทำให้การดำเนินนโยบายเป็นไปด้วยความล่าช้า และจำกัดความสามารถในการลดภาระการคลังในระยะยาว

หลังจากที่ฝรั่งเศสถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในช่วงเดือก.ย.-ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา พบว่าต้นทุนทางการเงินของรัฐบาลฝรั่งเศสเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งยิ่งเพิ่มภาระทางการคลังและเป็นข้อจำกัดของรัฐบาลในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การใช้จ่ายด้านสวัสดิการ หรือออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรองรับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจในอนาคต และหากสถานการณ์นี้ยืดเยื้อออกไป ความเชื่อมั่นของนักลงทุนอาจลดลง และกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้ สะท้อนจากตัวชี้วัดต้นทุนทางการเงิน ดังนี้

นอกจากนี้ การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลฝรั่งเศสยังส่งผลกระทบต่อหน่วยงานและสถาบันภาครัฐอื่นๆ โดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้ปรับลดอันดับของหน่วยงานภาครัฐเหล่านี้ตามไปด้วย ส่งผลให้ต้นทุนการระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรของหน่วยงานเหล่าสูงขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรภาคเอกชน (Corporate bond yield) ซึ่งสะท้อนต้นทุนการระดมทุนของบริษัทนั้นขึ้นอยู่กับฐานะการเงินและคุณภาพเครดิตของแต่ละบริษัทเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น บริษัทใหญ่ของฝรั่งเศสอย่าง L’Oréal, Axa, LVMH และ Sanofi ไม่ได้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตาม และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของบริษัทเหล่านี้ก็ไม่ได้สูงขึ้นตาม โดยบางรายมีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในอายุ (Maturity) เดียวกันด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน บริษัทที่มีเครดิตต่ำหรือบริษัทที่พึ่งพาการระดมทุนโดยมีรัฐบาลเป็นหลักประกันจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการเงินที่สูงขึ้นมากกว่า

แนวทางปรับตัวของไทย

บทเรียนจากอิตาลีและฝรั่งเศสสะท้อนว่า ความเสี่ยงด้านการคลังอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือนั้นสามารถหลีกเลี่ยงได้ หากสามารถลดการขาดดุลการคลังได้อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง โดยการปฏิรูปการคลังจำเป็นต้องดำเนินการเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงการปรับรายได้หรือรายจ่ายบางส่วน ทั้งนี้ ควรมีกลไกงบประมาณล่วงหน้าหลายปีที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ควบคู่กับองค์กรอิสระในการตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้งบประมาณ รวมถึงการปรับขนาดภาครัฐและยกระดับประสิทธิภาพการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ

การปรับลดการขาดดุลงบประมาณอย่างยั่งยืนของไทยจำเป็นต้องบูรณาการหลายแนวทางให้เกิดเป็นรูปธรรม

แนวทางเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายตามแผนการคลังระยะปานกลางฯ ดังกล่าว เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะควบคุมความเสี่ยงทางการคลังไม่ให้เพิ่มขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีข้อเสนอแนะและความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้

1. การเพิ่มรายได้ โดยรายได้งบประมาณเกือบทั้งหมดมาจากการเก็บภาษี (รูปที่ 9) แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2558-2567) ประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลขยายตัวช้ากว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ Buoyancy rate มีค่าเฉลี่ยไม่ถึง 1 อยู่ที่ 0.8 จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างรายได้ของรัฐบาล

รูปที่ 9 รายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มมีสัดส่วนมากที่สุดของรายได้รัฐ

 
1.1 การขยายฐานภาษี

รัฐบาลควรผลักดันให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในฐานภาษี โดยปัจจุบันมีจำนวนคนที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.) อยู่ 11 ล้านคน จากตัวเลขกำลังแรงงานของไทยทั้งสิ้นราว 40 ล้านคน ส่งผลให้อีก 29 ล้านคน ยังไม่ได้อยู่ในฐานภาษีของรัฐบาล (รูปที่ 10) ซึ่งรัฐบาลต้องมีการปฏิรูปในส่วนของกฎหมายและโครงสร้างสวัสดิการ ดังมีรายละเอียดดังนี้

1) ออกกฎหมายให้ทุกคนมีหน้าที่ยื่นแบบฯ และบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดขึ้น โดยปัจจุบันตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากรระบุว่า บุคคลธรรมดาที่มีรายได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่กำหนดต้องยื่นแบบฯ ดังนั้น ผู้ที่มีรายได้พึงประเมินไม่ถึงเกณฑ์ อาทิ คนโสดที่มีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 120,000 บาท ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลอาจต้องพิจารณาให้ทุกคนมีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ เพื่อสร้างฐานข้อมูลรายได้ให้แก่รัฐบาล

นอกจากนี้ ข้อมูลจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรายงานว่า ระหว่างปี 2554-2564 ไทยมีคดีความที่เกี่ยวเนื่องกับฐานการเลี่ยงภาษี เฉลี่ยเพียงราว 7 คดีต่อปี และส่วนใหญ่คดีขาดอายุความก่อนจะถึงบทลงโทษ สะท้อนว่ารัฐบาลต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมและบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น หรืออาจเพิ่มเงื่อนไขว่าหากไม่ยื่นภาษีฯ จะถูกจำกัดสิทธิการเข้าถึงสวัสดิการบางอย่าง เช่น สวัสดิการค่ารักษาพยาบาล หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในปัจจุบันและอนาคต
 
2) จูงใจให้คนเข้ามาอยู่ในฐานภาษีผ่านการให้สวัสดิการของรัฐผ่านเครื่องมือทางการคลังอย่าง Negative Income Tax (NIT) ซึ่งมีหลักการว่าผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนด จะได้รับสวัสดิการ แต่หากรายได้สูงกว่าเกณฑ์จะต้องชำระภาษีตามอัตราปกติ ซึ่งรัฐบาลอาจออกแบบสวัสดิการที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ไม่อยู่ในฐานภาษีของรัฐบาลเข้ามารับประโยชน์ของรัฐบาล โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐราว 14 ล้านคน อย่างไรก็ดี รัฐบาลต้องมีเงื่อนไขบางประการเพื่อช่วยผลักดันให้กลุ่มดังกล่าวพ้นจากระดับการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาล ซึ่งจะกลายไปเป็นฐานรายได้ภาษีใหม่ในอนาคต

การลดความซ้ำซ้อนของสวัสดิการภาครัฐ การใช้เครื่องมือ NIT เพื่อให้สามารถออกแบบสวัสดิการในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดความซ้ำซ้อนของโครงการสวัสดิการที่มีในปัจจุบัน โดยเฉพาะโครงการผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งใช้งบประมาณปี 2567 ราว 55,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นราว 1.4% ของงบประมาณรายจ่ายรวม หรือคิดเป็นต่อหัวได้รับความช่วยเหลือเพียง 375 บาทต่อเดือน ในขณะที่โครงการผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอาจจะมีความซ้ำซ้อนกับโครงการสวัสดิการอื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเช่นกัน อาทิ โครงการผู้มีรายได้น้อยให้มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย โครงการบริหารจัดการที่ดินทำกินแก่เกษตรกรรายย่อยและผู้ด้อยโอกาส หรือเบี้ยผู้สูงอายุ และเบี้ยคนพิการที่ให้เป็นการทั่วไป ซึ่งโครงการฯ ดังกล่าวใช้งบประมาณรวมสูงถึง 110,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นราว 3% ของงบประมาณรายจ่าย ซึ่งสามารถควบรวมโครงการ และปรับขนาดเม็ดเงินให้ความช่วยเหลือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ (รูปที่ 11) 
 
รูปที่ 10 ยังมีกำลังแรงงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี 29 ล้านคน

 

 
รูปที่ 11 ความซ้ำซ้อนของโครงการสวัสดิการ แบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย

 
รูปที่ 12 ประชากรกลุ่มบนสุด 10% ของไทยมีการถือครองทรัพย์สินสัดส่วนสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค

 
1.2 การเพิ่มอัตราภาษี
 
การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สู่ระดับ 10% รายได้จากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของรัฐบาลมีสัดส่วนราว 5% ของ nominal GDP ขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอตัวตามทิศทางการเติบโตเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.5% ตามแผนฯ ของรัฐบาลในปี 2571 คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้สุทธิให้รัฐบาลได้ราว 0.7% ของ nominal GDP ขณะที่การเก็บภาษีเพิ่มขึ้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคให้ลดลง 0.07% ของ nominal GDP ดังนั้น รัฐบาลอาจจะต้องมีงบประมาณสำหรับมาตรการบรรเทาผลกระทบเพื่อให้ nominal GDP โตตามแผนฯ ที่ 3.9% นอกจากนี้ แผนการปรับขึ้นภาษียังขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในปี 2571 ด้วยว่ามีความเหมาะสมที่จะปรับขึ้นอัตราภาษีหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ยังมีแนวทางการเพิ่มรายได้จาก VAT โดยไม่ต้องเพิ่มอัตราภาษี โดยธนาคารโลกประเมินว่า ปัจจุบันไทยจัดเก็บรายได้จาก VAT ได้ราว 85% ของรายได้ศักยภาพ (VAT potential) สะท้อนว่า ยังมีช่องว่างในการเพิ่มรายได้อีก 15% หรือคิดเป็น 0.7% ของ GDP หากมีการปรับปรุงการบริหารจัดเก็บให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น ตรวจสอบผู้ประกอบการที่มีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ที่ได้รับการยกเว้นภาษี VAT รวมถึงทบทวนกิจกรรมอื่นๆ ที่ได้รับยกเว้นภาษี VAT เป็นต้น

Global Minimum Tax 15% พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 เป็นไปตามมาตรการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ทั่วโลก (Global Minimum Tax) ในอัตราไม่ต่ำกว่า 15% ตามหลัก ของ OECD–Pillar 2 โดยคาดว่ารัฐบาลจะจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เพิ่มขึ้นราว 0.2% ของ GDP โดยเฉพาะจากการจ่ายภาษีส่วนเพิ่ม (Top-up Tax) ในกลุ่มที่เคยได้รับสิทธิประโยชน์ลดหรือยกเว้นภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าแรงจูงใจทางด้านภาษีมีน้อยลง แต่ผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อาจไม่มากนักเนื่องจากการแข่งขันดึงดูดการลงทุนอยู่บนฐานเท่าเทียมกัน ซึ่งไทยอาจได้ประโยชน์เล็กน้อยจากแรงจูงใจด้านอื่น อาทิ โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่แล้วในบางอุตสาหกรรม
 
การเก็บภาษีสำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ซึ่งเดิมได้รับการยกเว้นทั้งภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคาดว่ามีมูลค่าการนำเข้าสินค้าในกลุ่มดังกล่าวราว 30,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าการเก็บภาษีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐบาลประมาณ 0.02% ของ nominal GDP และช่วยส่งเสริมความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ

ภาษีสรรพสามิต ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตให้สะท้อนต้นทุนทางสังคมมากขึ้น โดยทยอยเพิ่มสัดส่วนภาษีตามปริมาณและความแรง (specific tax) สำหรับแอลกอฮอล์และบุหรี่ ควบคู่กับการอุดช่องว่างการจัดเก็บผ่านระบบ track & trace และการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เพื่อยกระดับการปฏิบัติตามกฎหมาย (compliance) โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราภาษีในระดับสูงมาก พร้อมทั้งขยายฐานภาษีไปยังผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ยาสูบทางเลือก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ให้ครอบคลุมมากขึ้น

2. การลดงบประมาณรายจ่าย กว่า 90% เป็นรายจ่ายประจำ ได้แก่ รายจ่ายสวัสดิการ ค่าจ้างบุคลากรรัฐ หนี้และภาระคงค้าง นอกจากนี้ รายจ่ายลงทุนยังถูกกำหนดให้ต้องจัดสรรไม่ต่ำกว่า 20% ของงบประมาณ (รูปที่ 13) ส่งผลให้พื้นที่สำหรับการปรับลดรายจ่ายงบประมาณในระยะสั้นมีจำกัด

รูปที่ 13 งบประมาณส่วนใหญ่ปรับลดได้ยาก

 
2.1 การปฏิรูปรายจ่ายเชิงโครงสร้างหรือปรับลดงบประมาณที่มีขนาดใหญ่

การปฏิรูประบบราชการ ระบบราชการไทยมีบุคลากรภาครัฐราว 3 ล้านคน คิดเป็น 7% ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีงบประมาณรายจ่ายที่เกี่ยวกับบุคลากรภาครัฐ คิดเป็น 1 ใน 3 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายรวม และเติบโตเฉลี่ยปีละ 3% (รูปที่ 14) โดยเกินกว่า 50% เป็นงบบุคลากร (เงินเดือน) 30% เป็นงบบำเน็จ บำนาญ และ 8% เป็นงบค่ารักษาพยาบาล ซึ่งรายจ่ายส่วนนี้เป็นรายจ่ายที่ตัดลดได้ยาก และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในส่วนค่ารักษาพยาบาล

จากตัวอย่างของเวียดนาม การปรับโครงสร้างและลดจำนวนข้าราชการจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเงินเดือนและค่าบริหารของรัฐ ราว 190.5 ล้านล้านด่งเวียดนาม หรือประมาณ 7.33 พันล้านดอลลาร์ฯ ตลอดช่วงปี 2569–2573 หรือคิดเป็นราว 1.6% ของ GDP เวียดนาม ซึ่งเป็นการประหยัดจากเงินเดือนและค่าใช้จ่ายประจำที่รัฐไม่ต้องแบกรับหลังการลดกำลังคนจำนวนมาก โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวสำหรับสิทธิประโยชน์และชดเชยที่จ่ายในระหว่างการเปลี่ยนผ่านระบบนี้ ซึ่งใช้เงินราว 27 ล้านล้านด่งเวียดนาม หรือ 1 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือ 0.2% ของ GDP เพื่อชดเชยสิทธิประโยชน์ให้กับข้าราชการที่หลุดออกจากระบบในการปฏิรูปครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ แม้มีค่าใช้จ่ายชดเชย (one-off cost) ในการช่วยเหลือพนักงาน แต่การลดจำนวนข้าราชการและพนักงานประจำช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐสำหรับจ่ายเงินเดือนประจำในระยะยาวได้อย่างมีนัย

หลังวิกฤตปี 2540 ภาครัฐเคยใช้มาตรการปรับขนาดกำลังคนภาครัฐ โดยเริ่มในปีงบประมาณ 2541 ไม่ให้เพิ่มอัตราข้าราชการใหม่ ควบคุมบริหารอัตราว่างจากการเกษียณ ยุบเลิกอัตราว่างบางส่วน รวมถึงโครงการเกษียณก่อนกำหนด (Early Retirement) ส่งผลให้กำลังคนภาครัฐลดลงราว 8-10% ในช่วงไม่กี่ปีหลังวิกฤต ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าการลดขนาดราชการสามารถทำได้ในทางปฏิบัติ

ในระยะต่อไป ไทยสามารถใช้การลดกำลังคนตามธรรมชาติ (Attrition Rule) อย่างเป็นระบบ โดยการกำหนด replacement ratio เช่น ในระยะ 3 ปีข้างหน้า จะมีบุคลากรภาครัฐเกษียณอายุราว 50,000 คนและจะไม่มีการรับกำลังคนทดแทน หรือ replacement rate เป็นศูนย์ ซึ่งจะช่วยลดกำลังคนภาครัฐลงได้ 2% ของทั้งหมด และจะช่วยลดงบประมาณรายจ่ายค่าจ้างลงราว 0.1% ของ GDP แต่ในระยะยาว จะช่วยลดภาระรายจ่ายสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลและเงินบำเหน็จบำนาญลงได้อีก
 
รูปที่ 14 งบประมาณบุคลากรภาครัฐบาลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

 
2.2 การเพิ่มวินัยทางการคลัง

การปรับกรอบกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rules) ให้เข้มงวดขึ้น คาดว่าอาจไม่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากแต่อาจช่วยให้รัฐบาลรักษาวินัยทางการคลังได้มากขึ้น อาทิ การปรับกรอบงบชำระคืนต้นเงินกู้ต่องบประมาณรายจ่ายอาจเพิ่มรายจ่ายให้รัฐบาลแต่จะช่วยลดภาระหนี้ได้ในระยะปานกลางถึงยาว และการปรับกรอบการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า/นอกเหนือจากกฎหมายงบประมาณลงซึ่งส่วนใหญ่อาจเป็นการลดงบลงทุนแต่รัฐบาลสามารถใช้เครื่องมืออื่นแทนการก่อหนี้ได้ เช่น การร่วมทุนระหว่างรัฐบาลและเอกชน (PPP)

การปรับลดกรอบการดำเนินมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่งพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 32% ของงบประมาณรายจ่าย โดยรัฐบาลต้องหลีกเลี่ยงการอนุมัติโครงการในลักษณะเงินอุดหนุนแบบให้เปล่า โดยปัจจุบันรายจ่ายในส่วนดังกล่าวยังไม่ปรากฎในหนี้สาธารณะอยู่เกือบราว 5% ของ nominal GDP จึงควรหลีกเลี่ยงการดำเนินนโยบายประชานิยม และมุ่งเน้นการปฏิบัติตามพันธกิจหลักของรัฐ ทั้งนี้ โครงการประกันรายได้เกษตรกร มีสัดส่วนคงเหลือที่รอการชดเชยถึง 85.5% ของเม็ดเงินรอการชดเชยภายใต้มาตรการ 28 ทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่า 7.4 แสนล้านบาท หรือ ราว 4.0% ของ GDP (รูปที่ 15) โดยรัฐบาลควรเน้นช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ยั่งยืนและพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น อาทิ การเพิ่มผลิตภาพและลดต้นทุน แทนการอุดหนุนในระยะสั้นและเป็นภาระต่องบประมาณ 
 
3. แนวทางอื่นๆ

3.1 ให้แผนการคลังระยะกลางมีผลผูกพันทางกฎหมาย ปัจจุบัน แผนการคลังระยะปานกลางของไทยที่จัดทำทุกปี ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งทำให้เมื่อมีการจัดทำงบประมาณประจำปีในแต่ละปี มักมีการเบี่ยงเบนออกจากแผนที่วางไว้ (รูปที่ 16) แผนการคลังล่วงหน้าที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Hard constraint) จะช่วยให้การดำเนินนโยบายใหม่ จะต้องพิจารณาความจำเป็นของโครงการที่มีอยู่เดิม และจัดวางลำดับความสำคัญของนโยบาย ทำให้การใช้จ่ายรัฐมีประสิทธิภาพขึ้น ไม่กลายเป็นภาระขาดดุลในอนาคต ทั้งนี้ อาจจะมีข้อยกเว้นในกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินแผนการคลังฯ แต่ยังให้อยู่ในกรอบวินัยอย่างเคร่งครัด และในขณะเดียวกันก็ยังทำหน้าที่เป็นตัวหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย
 
รูปที่ 16 งบประมาณที่จัดสรรจริงในแต่ละปีสูงกว่าแผนที่เคยกำหนดไว้

 
3.2 สร้างกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้งบประมาณ เพิ่มบทบาทให้กับสำนักงบประมาณของรัฐสภา (Parliamentary Budget Office) ของไทย โดยมุ่งหวังให้บทบาทของของ PBO เป็นหน่วยงานอิสระ ทำหน้าที่วิเคราะห์แผนการคลังทั้งรายได้ รายจ่าย ดุลการคลัง ตลอดจนนโยบายและมาตรการที่จะมีผลกระทบต่อแผนการคลังในระยะยาว รวมถึงการประเมินผลประโยชน์และความคุ้มค่าของนโยบาย (Cost-benefit Analysis) โดยดูตัวอย่างบทบาทของ Congressional Budget Office (CBO) ของสหรัฐฯ ที่เป็นหน่วยงานอิสระของรัฐสภา คอยให้ข้อมูล งบประมาณ และวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการคลังแก่รัฐสภา โดยแยกจากฝ่ายบริหาร (Executive) อย่างเด็ดขาด มีหน้าที่หลัก ดังนี้

วิเคราะห์งบประมาณและนโยบายเศรษฐกิจ การคลัง โดยไม่ออกคำแนะนำเชิงนโยบาย (policy recommendation) แต่ให้ ข้อเท็จจริง และประมาณการ (cost estimates, long-term budget projections, macro-fiscal outlook, debt impacts) แก่สมาชิกรัฐสภา เพื่อใช้ประกอบการพิจารณากฎหมายร่างงบประมาณ

วิเคราะห์ข้อเสนอนโยบายหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลังต่าง ๆ เช่น ถ้าฝ่ายใดเสนอร่างกฎหมายเพิ่มสวัสดิการ ลดภาษี หรือปรับระบบภาษี CBO จะคำนวณ ต้นทุน และ ผลกระทบต่องบประมาณ และหนี้สาธารณะ ให้รัฐสภาทราบก่อนลงมติเสมอ

เป็นองค์กรอิสระ จึงได้รับความเชื่อถือ แม้ในช่วงที่การเมืองขัดแย้งสูง และช่วยสร้างวินัยการคลัง (fiscal discipline) ผ่านการตรวจสอบภาระงบประมาณในระยะยาว

หากไทยโดนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ก็ยังไม่ถึงขั้นจะเกิดวิกฤตการคลัง แต่จะเพิ่มต้นทุนการกู้ยืม

หากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือก็ ยังไม่ถือว่าเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางการคลังในระยะสั้น เนื่องจากอันดับความน่าเชื่อถือในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่น่าลงทุน (Investment Grade) และสูงกว่าระดับที่ต่ำกว่าการลงทุน (Non-investment Grade) อยู่ 2 ระดับ (รูปที่ 17)

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีความสามารถในการบริหารจัดการภาระหนี้ที่ครบกำหนดได้อย่างต่อเนื่อง จากโครงสร้างหนี้สาธารณะที่มีความแข็งแรง โดยหนี้ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศและเป็นหนี้ระยะยาว ทั้งนี้ ณ เดือนตุลาคม 2568 หนี้ต่างประเทศของไทยมีสัดส่วนเพียง 0.8% ของหนี้สาธารณะรวม และกว่า 89.7% เป็นหนี้ระยะยาวตามอายุคงเหลือ โครงสร้างดังกล่าวช่วยจำกัดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย ทำให้ผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลในระยะสั้นมีแนวโน้มไม่รุนแรง เมื่อเทียบกับประเทศที่พึ่งพาหนี้ต่างประเทศในสัดส่วนสูงและมีความเสี่ยงจากหนี้สกุลเงินต่างประเทศ เช่น อาร์เจนตินาและศรีลังกา

อย่างไรก็ดี การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจะส่งผลกระทบหลักต่อต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐที่สูงขึ้น ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะจำกัดงบประมาณในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ขยายสวัสดิการ หรือออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีระดับการพึ่งพาการค้ำประกันจากภาครัฐจะมีต้นทุนการระดมทุนที่สูงขึ้นตาม อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อภาคเอกชนจะไม่เท่ากัน โดยบริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินเข้มแข็ง กระแสเงินสดมั่นคง และมีรายได้จากต่างประเทศ อาจไม่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ 

รูปที่ 17 อันดับความน่าเชื่อถือของไทยสูงกว่า Non-investment grade อีก 2 ระดับ
 

บันทึกโดย : วันที่ : 25 ธ.ค. 2568 เวลา : 16:51:14
26-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 27 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำมีนบุรี

2. ตลาดหุ้นปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 5.52 จุด ดัชนี 1,259.25 จุด

3. ตลาดหุ้นไทยปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 5.28 จุดดัชนี 1,259.49 จุด

4. MTS Gold คาดราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,480-4,450 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,540-4,560เหรียญ

5. ทองเปิดตลาดวันนี้ (26 ธ.ค. 68) พุ่งขึ้น 250 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 66,900 บาท

6. พยากรณ์อากาศวันนี้ (26 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบน อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา/ภาคใต้ ฝนตกหนัก 40-60% คลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร เรือเล็กงดออกจากฝั่ง จนถึง 28 ธ.ค.

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 ธ.ค.68) ทรงตัว ที่ระดับ 31.07 บาทต่อดอลลาร์

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 0.06 จุด ดัชนี 1,264.71 จุด

9. ตลาดหุ้นปิด (25 ธ.ค.68) ลบ 10.56 จุด ดัชนี 1,264.77 จุด

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 ธ.ค.68) ลบ 8.74 จุด ดัชนี 1,266.59 จุด

11. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,450-4,430 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,500-4,525 เหรียญ

12. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.68) ทำนิวไฮ บวก 288.75 จุด ขานรับ "ซานต้าแรลลี่"

13. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.68) ลบ 2.90 ดอลลาร์ นักลงทุนขายทำกำไรหลังราคาพุ่งทำนิวไฮ

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (25 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบน อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา /ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและตกหนักบางแห่ง

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (25 ธ.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 26, 2025, 11:07 pm