เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "ส่งออก พ.ย. ยังโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 แต่ปี 2026 เสี่ยงพลิกกลับมาหดตัวจากหลายปัจจัยกดดัน"


มูลค่าส่งออกสินค้าเดือน พ.ย. 2025 อยู่ที่ 27,445.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 7.1%YOY เพิ่มขึ้นจาก 5.7% ในเดือนก่อน และใกล้เคียงกับที่ SCB EIC ประเมินไว้ที่ 7% (ขณะที่ค่ากลางในผลสำรวจจาก Reuters อยู่ที่ 8.3%) โดยแม้ตัวเลขยังขยายตัวได้ต่อเนื่องแต่เริ่มเห็นถึงสัญญาณการชะลอตัวชัดเจนมากขึ้น สะท้อนจากการส่งออกปรับฤดูกาลที่หดตัว -2.3%MOM_SA ต่อเนื่องจาก -1.2%MOM_SA ในเดือนก่อน ทั้งนี้ภาพรวมมูลค่าส่งออกสะสม 11 เดือนแรกของปีนี้ยังขยายตัวสูง 12.6% (รูปที่ 1 และ 2)


 
ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และส่งออกไปสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยหนุนหลัก ขณะที่ทองคำกลายเป็นปัจจัยกดดันสำคัญ 2 เดือนติดต่อกัน

1) การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ยังขยายตัวสูงในเดือน พ.ย. แม้หลายสินค้าโดนกำแพงภาษีไปแล้ว โดยขยายตัวสูงถึง 37.9%YOY ต่อเนื่องจาก 32.9% ในเดือนก่อนแม้เผชิญกำแพงภาษี โดยสินค้าส่งออกหลักของไทยไปสหรัฐฯ 11 จาก 15 รายการขยายตัวดี โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ที่ขยายตัวสูง 120%

2) การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวสูงต่อเนื่อง จากการเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ  ซึ่งยังคงได้รับการยกเว้นอัตราภาษีตอบโต้ วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และแนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ Data center ที่ขยายตัวทั่วโลก เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่ขยายตัว 59.9% และแผงวงจรไฟฟ้าที่ขยายตัว 17.1% เป็นต้น

3) ทองคำกลายเป็นปัจจัยกดดันหลัก 2 เดือนติดต่อกัน หลังจากขยายตัวสูงตลอด 9 เดือนแรกของปี การส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปหดตัวสูง -51.2% ต่อเนื่องจาก -76.9% ในเดือนก่อน จากที่เคยขยายตัวสูงมากถึง 212.6% และ 144% ในเดือน ก.ย. และ ส.ค. ตามลำดับ ประเมินว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยฐานสูง เนื่องจากการส่งออกทองคำเดือน ต.ค. และ พ.ย. ปี 2024 ที่ขยายตัวสูงถึง 169.3% และ 174.7% จากเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ตามลำดับ รวมถึงจากราคาทองคำที่ขยายตัวชะลอลงในเดือน พ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้นเร็วในช่วงก่อนหน้า 

มูลค่าการนำเข้าสินค้าเร่งตัวสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผงวงจรไฟฟ้า ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าต่อเนื่อง

มูลค่านำเข้าสินค้าเดือน พ.ย. อยู่ที่ 30,172.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวสูง 17.6% ต่อเนื่องจาก 16.3% และ 17.2% ในเดือน ต.ค. และ ก.ย. ตามลำดับ และสูงกว่าที่ประมาณการไว้มาก (SCB EIC ประเมิน 10.1% ขณะที่ค่ากลางในผลสำรวจของ Reuters อยู่ที่ 14%) ทำให้ภาพรวมมูลค่านำเข้า 11 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวสูง 12.4% ในเดือนนี้การนำเข้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่น ๆ ขยายตัว 69.7%, สินค้าทุนขยายตัว 18.7%, ยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งขยายตัว 10% และสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว 8.2% ทั้งนี้การนำเข้าเชื้อเพลิงเป็นหมวดเดียวที่หดตัวสูงราว -16.7% ต่อเนื่องจาก -9.8% ในเดือนก่อน (รูปที่ 3) ซึ่งการนำเข้าที่ขยายตัวสูงเป็นผลจากการนำเข้าแผงวงจรไฟฟ้าที่ขยายตัวถึง 195.1% เร่งขึ้นจาก 33.3% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะจากไต้หวันที่ขยายตัวสูงถึง 605.1% และคิดเป็น 82.9% ของการนำเข้าแผงวงจรไฟฟ้าทั้งหมดในเดือนนี้

ดุลการค้า (ระบบศุลกากร) เดือนนี้ขาดดุลสูงต่อเนื่อง -2,726.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลสูงกว่าคาดมาก (SCB EIC ประเมินขาดดุล -800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่ากลางในผลสำรวจของ Reuters อยู่ที่ -1,120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ผลจากการนำเข้ายังเร่งตัวสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสินค้าแผงวงจรไฟฟ้าจากไต้หวัน ส่งผลให้ดุลการค้าสะสม 11 เดือนแรกของปี 2025 ขาดดุล -4,956 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

SCB EIC ประเมินส่งออกปี 2026 อาจพลิกกลับมาหดตัวจากหลายปัจจัย

มูลค่าส่งออกที่ขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย 1) วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเกาะกระแสความต้องการโลกและเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย 2) ความรุนแรงของนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่ประกาศไว้ในช่วงแรก (เช่น ไทยจาก 36% เหลือ 19%) อีกทั้ง การจัดเก็บภาษีได้ถูกชะลออกไปในหลายส่วน เช่น ในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางชนิด ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและการค้าได้ผลกระทบจากนโยบายภาษีนำที่ค่อนข้างจำกัดและยังขยายตัวได้ดี 3) การส่งออกทองคำที่สูงจากราคาที่สูงขึ้นและความต้องการทองที่สูงขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอน รวมทั้งการส่งออกทองคำพิเศษไปอินเดียในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ 4) ปัจจัยฐานต่ำในช่วงครึ่งแรกของปี 2024

อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวสูงนั้นมาพร้อมกับการนำเข้าที่เร่งตัวมากเช่นกัน โดยเฉพาะสินค้าเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผลบวกต่อเศรษฐกิจอาจมีไม่มากนัก

แม้ส่งออกจะขยายตัวดีในปี 2025 แต่ SCB EIC ประเมินว่าการส่งออกของไทยในปี 2026 จะมีแนวโน้มหดตัว -1.5% (ตัวเลขระบบดุลการชำระเงิน) สาเหตุสำคัญจาก 1) เศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลกในปี 2026 ที่มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจากผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ที่เริ่มส่งผลชัดเจนและเต็มรูปแบบมากขึ้น 2) ปัจจัยหนุนในปี 2025 ที่จะเริ่มหมดไป เช่น การเร่งผลิตและส่งสินค้าไปสหรัฐฯ (Front-load) การส่งออกทองคำพิเศษไปอินเดีย เป็นต้น 3) ปัจจัยฐานสูงในปี 2025 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 4) การแข่งขันในตลาดโลกสูงขึ้น เนื่องจากทั่วโลกต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดสหรัฐฯ และ 5) ผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันโดยเปรียบเทียบ โดยเฉพาะสินค้าส่งออกที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก (ไม่มี Natural-hedge) ทั้งนี้เงินบาทแข็งค่ามากกว่า 9% นับตั้งแต่ต้นปี 2025 สูงเกือบที่สุดในภูมิภาค ยกเว้นเพียงเมียนมา โดยจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ตั้งแต่ในช่วงไตรมาสสองของปี 2026 โดยสอดคล้องกับประมาณการของกระทรวงพาณิชย์ที่ช่วง -3.3% ถึง 1.1% (ตัวเลขระบบศุลกากร)

นอกจากนี้ ในระยะข้างหน้าส่งออกไทยอาจเผชิญปัจจัยเสี่ยงด้านต่ำที่ต้องจับตาใกล้ชิดเพิ่มเติมจาก
 
1) ภาษีนำเข้าเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ เช่นภาษีเฉพาะเจาะจงรายสินค้า (Sectoral tariff) โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และภาษีสวมสิทธิ์ (Transshipment tariff) ซึ่งภาษีทั้งสองรูปแบบมีอัตราภาษีสูงกว่าที่ 19% ที่ไทยเผชิญอยู่ในปัจจุบัน 
 
2) ความสัมพันธ์ระหว่าง จีน-สหรัฐฯ โดยเฉพาะการค้ากลับมาตึงเครียดอีกครั้ง อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจโลกและการค้าโลก
 
3) ข้อตกลงการค้าไทย-สหรัฐฯ ยังไม่แน่นอนสูง อีกทั้ง กรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อาจทำให้การเจรจากับสหรัฐฯ ล่าช้า หรือไทยเสียเปรียบในการเจรจามากขึ้น
 
4) ปัญหาสินค้าจีนและสหรัฐฯ ทะลักในตลาดโลกมากขึ้น กระทบความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยทั้งในและต่างประเทศ

รูปที่ 1 : มูลค่าการส่งออกไทย รายสินค้าและรายตลาดสำคัญ
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์
 
รูปที่ 2 : สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังเป็นแรงส่งสำคัญ แม้จะชะลอลงบ้าง ขณะที่ส่งออกทองคำยังหดตัวสูง
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์

รูปที่ 3 : มูลค่าการนำเข้าสินค้าไทย รายสินค้าและรายตลาดสำคัญ
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์

บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/trade-251225

ผู้เขียนบทวิเคราะห์
 
 
ภาวัต แสวงสัตย์ นักเศรษฐศาสตร์ (pawat.sawaengsat@scb.co.th)
 
 
วิชาญ กุลาตี นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส  (vishal.gulati@scb.co.th)

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 26 ธ.ค. 2568 เวลา : 12:09:12
26-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 27 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำมีนบุรี

2. ตลาดหุ้นปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 5.52 จุด ดัชนี 1,259.25 จุด

3. ตลาดหุ้นไทยปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 5.28 จุดดัชนี 1,259.49 จุด

4. MTS Gold คาดราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,480-4,450 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,540-4,560เหรียญ

5. ทองเปิดตลาดวันนี้ (26 ธ.ค. 68) พุ่งขึ้น 250 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 66,900 บาท

6. พยากรณ์อากาศวันนี้ (26 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบน อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา/ภาคใต้ ฝนตกหนัก 40-60% คลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร เรือเล็กงดออกจากฝั่ง จนถึง 28 ธ.ค.

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 ธ.ค.68) ทรงตัว ที่ระดับ 31.07 บาทต่อดอลลาร์

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 0.06 จุด ดัชนี 1,264.71 จุด

9. ตลาดหุ้นปิด (25 ธ.ค.68) ลบ 10.56 จุด ดัชนี 1,264.77 จุด

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 ธ.ค.68) ลบ 8.74 จุด ดัชนี 1,266.59 จุด

11. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,450-4,430 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,500-4,525 เหรียญ

12. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.68) ทำนิวไฮ บวก 288.75 จุด ขานรับ "ซานต้าแรลลี่"

13. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.68) ลบ 2.90 ดอลลาร์ นักลงทุนขายทำกำไรหลังราคาพุ่งทำนิวไฮ

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (25 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบน อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา /ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและตกหนักบางแห่ง

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (25 ธ.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 26, 2025, 11:11 pm