เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Scoop : Mega Trends กระแสหลักเปลี่ยนโลก ที่ธุรกิจไทยต้องตามให้ทัน


 

ในภาพรวมของเศรษฐกิจไทย ที่ยังต้องเผชิญกับความเปราะบางจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้านนั้น หลัก ๆ แล้ว สิ่งที่เป็นต้นตอแรกเริ่ม คือปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ที่อยู่ในฐานะ "User Economy" ไม่ใช่เจ้าของเทคโนโลยี ไม่ใช่เจ้าของแพลตฟอร์ม ไม่ใช่ Standard Setter แต่เป็นผู้ผลิตตามคำสั่ง และผู้ใช้ปลายทาง ซึ่งเสี่ยงที่จะโดนแรงกระแทกสูง หาก Mega Trends ได้เข้ามามีบทบาทหลักเต็มรูปแบบในโลกของธุรกิจยุคใหม่
 
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ได้เปิดเผยถึง 3 Mega Trends ใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจนับตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ได้แก่ Demographic Change พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว, Technology Disruption กดดันธุรกิจเดิมที่ล้าสมัย และ Net Zero ที่ถูกกดดันให้เร็วขึ้น โดยในมิติของผู้บริโภคนั้น ด้วยโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สร้างโอกาสใหม่ในธุรกิจบริการสุขภาพ ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ และผลิตภัณฑ์การเงินเฉพาะกลุ่ม ขณะเดียวกันพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่เน้นความยั่งยืนและสุขภาพ ก็เปิดโอกาสให้ธุรกิจอาหารทางเลือก และบริการต่าง ๆ ที่รองรับไลฟ์สไตล์อิสระ
 
ส่วนเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยี ที่เกิดการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีขั้นสูงจนทำให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ เช่น Subscription หรือ AI Solutions และประเด็นด้านของความยั่งยืน หรือ Net Zero ของไทย ที่มีการเร่งเป้าหมายจากเดิมปี 2608 มาเป็นปี 2593 นั้น ทั้ง 3 เทรนด์ใหญ่นี้กำลังสร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ 2 เรื่องหลังอย่าง Technology Disruption และ Net Zero ที่เป็นความท้าทายหลักของธุรกิจไทย เนื่องมาจากว่า โครงสร้างเศรษฐกิจไทยเรา คือ เศรษฐกิจแบบ “ผู้ใช้” หรือ User Economy อันเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นแกนหลัก และมีการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติสูง สะท้อนจากสถานะการเป็นผู้ใช้งานเทคโนโลยี มากกว่าเป็นเจ้าของ (เช่น ไทยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยต่างชาติ อย่างสหรัฐ และ จีน) ซึ่งในมิติภาคการผลิต ประเทศไทยจัดเป็นฐานการผลิตให้กับเจ้าของเทคโนโลยี สังเกตจากที่อุตสาหกรรมในไทยมักเป็นฐานการผลิตหรือประกอบ (เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์) ไม่ใช่ผู้พัฒนาต้นน้ำ นอกจากนี้ User Economy ยังมีความเหลื่อมล้ำสูงระหว่างเมืองหลักกับชนบท และภาคเกษตรกับอุตสาหกรรมทันสมัย ที่เกิดจากการเข้าถึงเทคโนโลยีและการเป็นเจ้าของเครื่องมือผลิตที่ไม่เท่าเทียมกัน
 
ซึ่งการมาของ Digital Disruption ที่เกิดโมเดล Subscription หรือการพัฒนา AI ขึ้นมาแทนที่ เป็นโจทย์หินของธุรกิจดั่งเดิมที่ต้องเร่งลงทุนให้ทัน ซึ่งธุรกิจไทยต้องใช้เงินลงทุนที่สูงเพื่อตามให้ทันคู่แข่ง หรือถ้าหากเป็นธุรกิจขนาดเล็ก มีเงินลงทุนจำกัด ก็อาจต้องมีการปรับตัวสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อตอบโจทย์บริบทของโลกยุคใหม่ ทั้งกับผู้บริโภค และกับสายพานการผลิตเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกตัดออกจากห่วงโซ่การผลิตโลก เพราะไม่เช่นนั้น การมาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะทำให้ไทยได้รับผลกระทบทั้งกับภาคธุรกิจดั่งเดิม (เช่น อู่ซ่อมรถยนต์สันดาป กับการมาของรถ EV) ภาคการจ้างงาน การบริโภคในประเทศ และการดึงดูดเงินทุนต่างชาติ จะได้รับผลกระทบทั้งหมด
 
ส่วน การเร่งเป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ของไทยจากเดิมปี 2608 ขยับขึ้นมาเป็นปี 2593 เพื่อคงขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการส่งออกนั้น เป็นแรงกดดันอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เพราะ Net Zero สำหรับไทยตอนนี้มันคือ “ต้นทุน” ที่โรงงานต่าง ๆ ต้องลงทุนใหม่ จัดการ Supply Chain ตัวเองใหม่เพื่อความโปร่งใส รวมถึงต้นทุนของการทำ ESG, ระบบตรวจสอบ Traceability ไปจนถึงการต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย (Climate Adaptation) ซึ่งเป็นความท้าทายของธุรกิจไทย ที่หากไม่เร่งปรับตัว ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะสูญเสียความสามารถแข่งขันในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
 
อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าเป็นโชคดีของไทย ที่พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สอดรับกับ Wellness Economy ที่กำลังกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมดาวรุ่งของไทย (เติบโตเฉลี่ย 7.3% ต่อปี สูงกว่าการเติบโตของ GDP โลก) ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งการแพทย์ ฟิตเนส อาหารสุขภาพ ความงาม และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งตรงนี้เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ ที่ภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SME ควรรีบคว้าเอาไว้ และปรับตัวให้เร็วที่สุดตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการรักสุขภาพดังกล่าว เพื่อปูเส้นทางให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตสวนกระแสได้ในปี 2026 นี้

LastUpdate 28/12/2568 21:19:44 โดย :
29-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 27 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำมีนบุรี

2. ตลาดหุ้นปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 5.52 จุด ดัชนี 1,259.25 จุด

3. ตลาดหุ้นไทยปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 5.28 จุดดัชนี 1,259.49 จุด

4. MTS Gold คาดราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,480-4,450 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,540-4,560เหรียญ

5. ทองเปิดตลาดวันนี้ (26 ธ.ค. 68) พุ่งขึ้น 250 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 66,900 บาท

6. พยากรณ์อากาศวันนี้ (26 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบน อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา/ภาคใต้ ฝนตกหนัก 40-60% คลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร เรือเล็กงดออกจากฝั่ง จนถึง 28 ธ.ค.

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 ธ.ค.68) ทรงตัว ที่ระดับ 31.07 บาทต่อดอลลาร์

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 ธ.ค.68) ลบ 0.06 จุด ดัชนี 1,264.71 จุด

9. ตลาดหุ้นปิด (25 ธ.ค.68) ลบ 10.56 จุด ดัชนี 1,264.77 จุด

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 ธ.ค.68) ลบ 8.74 จุด ดัชนี 1,266.59 จุด

11. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,450-4,430 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,500-4,525 เหรียญ

12. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.68) ทำนิวไฮ บวก 288.75 จุด ขานรับ "ซานต้าแรลลี่"

13. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.68) ลบ 2.90 ดอลลาร์ นักลงทุนขายทำกำไรหลังราคาพุ่งทำนิวไฮ

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (25 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบน อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา /ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและตกหนักบางแห่ง

15. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (25 ธ.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 29, 2025, 9:52 am