
วิวัฒนาการของเทคโนโลยี นับเป็นความหวังของมนุษยชาติที่โหยหาการพัฒนาไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า ดังนั้นโดยปกติแล้ว ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโดยเฉพาะ Big Tech หรือบริษัทเทคฯยักษ์ใหญ่จากทางสหรัฐ จะได้รับความสนใจจากหมู่นักลงทุนทั่วโลก จนได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐโดยรวม แต่ความเปราะบางก็ยังมีอยู่ เนื่องจากความเป็นนามธรรมของเทคโนโลยีที่อาจยังมองไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างในการนำมาใช้อย่างชัดเจน ทำให้เมื่อตลาดมองว่าราคาหุ้นเทคโนโลยีมีราคาแพงเกินไป จะโดนดันราคาให้ต่ำลงมาจนอยู่ในจุดที่เหมาะสมตามบริบทของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ณ ขณะนั้น
เช่นเดียวกับช่วงการลงทุนของโลกยุคใหม่ ที่นักลงทุนในตลาดเริ่มมีความกังวลกับราคาของหุ้นกลุ่มดังกล่าวที่พุ่งสูงเกินไป จนได้เกิดแรงเทขายที่กระทบลุกลามไปทั้งตลาดสหรัฐ ยุโรป และเอเชียอีกด้วย โดยเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ลดลง 1.12%, ดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 1.90% และ Dow Jones ลดลง 0.84% ซึ่งถือได้ว่าร่วงหนักสุดในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย. ของปีเดียวกัน ส่วนดัชนี Euro Stoxx 50 ของยุโรป ลดลง 1.31% ดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่น ลดลง 1.48% ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ ลดลง 1.81% ดัชนี HSI ของไต้หวัน ลดลง 1.22% ขณะที่ในฝั่งตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ปิดลบเล็กน้อย อ้างอิงจากดัชนี SSE หรือตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ที่ปิดตลาดลดลง 0.25%
โดยสาเหตุที่ตลาดมีความกังวลว่าหุ้นเทคโนโลยี รวมถึงหุ้นในกลุ่ม AI มีราคาที่ Overpriced เกินไป มีที่มาจากทั้งในการวิเคราะห์เชิงเทคนิคของซีอีโอ Goldman Sachs วาณิชธนกิจและผู้ให้บริการทางการการเงินยักษ์ใหญ่ระดับโลก ออกมาเตือนว่า ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ 10–15% ในอีก 1 ถึง 2 ปีข้างหน้า ซึ่งคล้ายกับการซ้ำรอยของยุค “ฟองสบู่ดอทคอม” ที่เกิดการล่มสลายของบรรดาบริษัทเทคโนโลยี พร้อมกับชี้ว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวตอนนี้ก็มีมูลค่าสูงเกินจริง สอดคล้องกับทางซีอีโอของ JPMorgan หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก เคยออกมาเตือนก่อนหน้านี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐจะเข้าสู่ช่วงการปรับฐานครั้งใหญ่ในอีก 6 เดือน ถึง 2 ปี เนื่องจากความเสี่ยงของการบริหารบ้านเมืองในสหรัฐ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเข้มแข็งของศักยภาพทางทหารที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ที่จะกระตุ้นให้ตลาดโยกการเก็บเงินลงทุนเอาไว้ในสินทรัพย์ปลอดภัยแทน
และอีกสิ่งสำคัญที่ทำให้นักลงทุนได้หันมาพิจารณาถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกันมากขึ้น คือ การที่รัฐบาลสหรัฐเกิด Government Shutdown ที่ยืดเยื้อนานสุดในประวัติศาสตร์ อันทำให้ไม่มีการรายงานของข้อมูลทางเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญ มาพิจารณาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดการเงิน ณ ปัจจุบัน ( เช่น ถ้าตลาดแรงงานดี มีการบริโภคเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แต่หากคนตกงานเยอะ คนบริโภคลดลง ก็จะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นเทคฯ กลับไปเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตร เป็นต้น)

นอกจากนี้ การที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีการแข็งค่าขึ้นมากสุดในรอบ 4 เดือน ซึ่งเป็นการตอบรับสภาวะของการเทขายหุ้นกลุ่มเทคฯ อย่างรุนแรงมาพึ่งพาสกุลเงินปลอดภัยที่เป็น Safe Heaven อย่างพันธบัตรดอลลาร์สหรัฐ ก็ยิ่งทำให้ตลาดเกิดความกังวลมากขึ้น ซึ่งกลับไปกระตุ้นให้คนขายหุ้นและโยกไปยังสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยกว่ามากขึ้นไปอีก นับเป็นความกังวลทางด้านจิตวิทยาที่ส่งผลเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของเทคโนโลยีและ AI โดยอาจลุกลามต่อไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม Electronics และกลุ่มอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีในระยะต่อไปได้อีก แต่ทั้งนี้หุ้นกลุ่มเทคฯ อาจได้รับการช่วยเหลือหากมีข่าวดีเข้ามาสนับสนุน อย่างเรื่องของการลดดอกเบี้ย ที่นักลงทุนส่วนใหญ่อ้างอิงจาก Fed Watch ของ CME Group ที่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed อาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 3.50%-3.75% ในการประชุมของเดือน ธ.ค. 2568 นี้
ข่าวเด่น